วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บันทึกความทรงจำของความคิดเลื่อนลอย

สิงหาคม 7,13 ไม่ทันได้ตั้งตัวเท่าไหร่ สำหรับการมาเมืองหลวงครั้งนี้ มาแบบกระทันหันจริง ๆ ตัดสินใจมาและใช้เวลาเก็บเสื้อผ้าแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนกระโจนติดรถน้องที่เพิ่งบอกว่า จะไปกรุงเทพฯตอนสามทุ่มนะ!!!

โดยส่วนตัวเริ่มแรกก็คิดอยู่ว่าคงต้องมาทำธุระเกี่ยวกับการขอรหัสบาร์โค้ดที่กรุงเทพ เพราะกลัวว่า ถ้าขอผ่านทางระบบไปรษณีย์ จะมีปัญหามาก ( อันที่จริงคือ เอกสารที่ใช้ประกอบการขอยื่นไม่ครบ คือขาด สำเนา ภงด.91) อย่ากระนั้นเลย บุกไปถึงที่แล้วชี้แจงด้วยตัวเอง ดูจะเป็นวิธีที่เข้าท่า และสะดวกสุด ผ่านไม่ผ่าน รู้ผลทันที ไม่ต้องรอสองสัปดาห์ให้วุ่นวายใจ

แต่คิดไปคิดมา ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการทำธุระที่เมืองหลวงครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าสามหมื่นบาท โฮ้ววววว จะเอาเงินที่ไหนละเนี่ย เงินเก็บที่มีก็ไม่น่าจะพอ … คือถ้าไป ไปได้ แต่กลับมาจะไม่เหลือเงินไว้ใช้จ่ายเลย … ฉับพลันเหมือนสวรรค์เป็นใจ ให้ได้(ยืม)เงินจากคลังหลวง ! ฮู้ววววววว ยืมก็ยืม … เพราะติดรถน้องไป จะได้ประหยัดค่าเดินทางขาลง …. เมื่อการเงินลงตัว พาหนะลงตัว ก็โกอะเฮด มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง ณ เวลา สี่ทุ่ม โดยมีสารถีคือน้องชายตัวเอง … ส่วนเรารึ … นั่งและหลับ นั่งและหลับ จนถึงกรุงเทพเลย

หลับ ๆ ตื่น ๆ คุย ๆ จนฟ้าสว่าง เหลียวมองข้างทางก็เข้าเขตจังหวัดอยุธยาแล้ว มองไปทางไหนก้อเห็นแต่ป้าย ๆ ๆ ๆ โฆษณา ร้านนู้น นี่ นั่น วัด นู้น นี่ นั่น กันเต็มสองข้างทาง พลันก็คิดว่า แถบภาคกลางนี่ นิยมทำป้ายใหญ่ ๆ โต ๆ กันจริง ๆ คงเพราะเพื่อความสะดุดตาละมั้ง ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ที่แน่ใจคือ รถบัสที่วิ่งแถบนี้แทบทุกคัน จะเพ้นท์ตัวรถเป็นลวดลายการ์ตูนญี่ปุ่นกันทุกคัน ดูแล้วลายหูลายตา ระคนความประหลาดใจว่าเพราะอะไร บางคันมีลวดลายการ์ตูนผู้หญิงนมโตด้วยล่ะ !!!!

เอ้า ….. คงเป็นความนิยมทางจังหวัดแถบนี้... คิด ๆ ได้ทันไร ก็เริ่มเข้าเขตดอนเมือง โดยน้องขับขึ้นทางด่วน .. ขึ้นปุ๊บ รถติดปั๊บ …. ด่วนตรงไหนเนี่ย .. คงเพราะมาถึงช่วงแปดโมงเช้า ที่จำนวนรถคึกคักเพื่อไปโรงเรียน ไปทำงาน รถมหาศาลจึงไปติดกันอยู่บนทางด่วน … กว่าจะถึงคอนโด ที่วงเวียนใหญ่ ก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมงเช้า เรียกได้ว่า ระโหยกันทั้งพี่ทั้งน้อง

ดีหน่อยที่มากรุงเทพฯคราวนี้ ไม่ต้องพะวงเรื่องโรงแรมที่พัก ( ประหยัดเงินไปได้อีกหลายพันเลยทีเดียว) เพราะน้องชายได้ซื้อคอนโดไว้อีกที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซะด้วย …. (เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก) เราเลยได้อานิสงฆ์พักที่นี่แหล่ะ ส่วนน้องชาย ไปพักที่ตอนโดลุมพินี... ถึงคอนโด(เป็นคอนโดสร้างใหม่) ทุกอย่างเลยดูใหม่ และยังมีส่วนที่ก่อสร้างอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหา สบายกว่าไปพักโรงแรมเป็นไหน ๆ มีครัว เตาไฟฟ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ ทีวี ดรีมบ๊อกซ์ ที่นอนนุ่ม ๆ เครื่องปรับอากาศเสียงหึ่ง ๅ สองตัว ฝักบัวแบบน้ำตกใหญ่สะใจ โซฟายาว รวมไปถึงเครื่องซักผ้า ….. สบายละ.... เข้าห้องได้ก็นอนพักหลังจากปวดเมื่อยกับการนั่งรถมาทั้งคืน ( ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนขับ แต่ไหงรู้สึกปวดระบมไปทั้งตัวแบบนี้นะ ) ส่วนน้องก็ไปหลับที่ตอนโดลุมพินี ไอ้เรารึ.. ก่อนเข้าห้องก็ว่าจะขอหลับให้สบายสักวัน พรุ่งนี้ค่อยไปทำธุระ... แต่พอเข้าห้องแล้ว ดันตาสว่าง ไม่ง่วง ไม่เพลีย แต่ปวดทั้งตัวเลยทีเดียว อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ ก็ไม่ง่วงละ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปทำธุระเลยดีกว่า เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้มีเวลาเตรียมตัวพอ.....
คิดได้แบบนี้แล้ว ก้อพาสังขารา ตัวเองเข้าห้องน้ำ แก้ผ้า ทำธุระยามเช้า อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แล้ว ออกตะลุย เมืองหลวง ( ที่ไม่ได้มาเยือนหลายเพลาแล้ว ) ก้าวแรกที่ออกคอนโด ความร้อนอบอ้าว เข้าประทะใบหน้าและลำตัว แทบเซ พยายามหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อพยายามกรองออกซิเจนในอากาศเข้าปอด ซึ่งรู้สึกทำได้ยากมาก หายใจลำบากเหมือนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ( สงสัยปริมาณออกซิเจนในอากาศมีน้อย หรือไม่ก็ ไม่ชินกับสภาพอากาศแบบนี้ ) เพราะอยู่เชียงใหม่ สูดอากาศได้เต็มปอด หายใจสะดวกโล่งสบายกว่านี้มากนัก …. หายใจเฮือกใหญ่ อยู่สามสี่เฮีอก ก็ก้าวเท้าออกสู่ถนนใหญ่ … เอาล่ะ จะไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์ จะไปไงดีหวา รถไฟฟ้า หรือ แท๊กซี่ดี คิดไปคิดมาอยู่สองสามตลบ ก็สรุปว่า วันนี้วันแรกยอมไปแท๊กซี่ก่อนดีกว่า จะได้ศึกษาเส้นทางไว้บ้าง คิดไม่ทันจบ แท๊กซี่ก็มาจอดตรงหน้า อะฮ้า ป้ายว่างแดงโร่ เลย … เปิดประตูถาม “ พี ๆ ไปศูนย์สิริกิติ์มั้ยคับ “ คนขับแท๊กซี่รีบบอกว่า “เวลาไม่พอ” อ๊ะ ! ไม่เป็นไร ไปคันอื่นก็ได้ … ปิดประตูคันแรก แท๊กซี่อีกคันก็ขับมาจอดต่อพอดี เลยเดินไปเปิดประตูถามเหมือนเดิม คราวนี้ พี่คนขับบอกว่า “ไป” .” แต่ขอไปทางพระรามสามนะ เพราะทางสาธรติดม๊อบ “ “โอเคพี่ ทางไหนก้อได้คับ” พูดตอบไปพลางเปิดประตูรถด้านหลังเข้าไปนั่งจุมปุ๊กทันที … แท๊กซี่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกสู่ถนน จนถึงศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ด้วยมิเตอร์ 185 บาท .. แอบแพงอยู่นะเนี่ย (คิดในใจพลาง เฮ้ออ ช่างเถอะ ถือว่าได้ชมเมือง ) เลยควักแบงค์ร้อยให้ไปสองใบ พร้อมบอก “ไม่ต้องทอนคับพี่”

ลงจากแท๊กซี่ได้ก็รีบสาวเท้าเข้าศูนย์ประชุมทันทีเพราะแดดเปรี้ยงมาก แสบแขนแล้ว … แต่มองซ้ายมองขวา จะไปทางไหนดีเนี่ย ไม่เคยมาซะด้วย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ยามชุดสีฟ้าสดใสหน้าตาเอาเรื่อง... เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถาม “ พี่คับ อาคารซี ไปหนใดคับพี่” “ตึกสุดท้ายขวามือเลยน้อง นู้น ๆ น่ะ “ พี่แกพูดด้วยใบหน้าเอาเรื่อง พลางชี้มือบอกทาง ก่อนรีบวิ่งไปเปิดรั้วกั้นประตูรถให้เมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์สะท้อนแสงจนแสบตา ก่อนตะเป๊ะให้รถ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.... ไหงคนละหน้ากะเวลาพูดกับช้านนนละเนี่ยยยย !!! แต่ก็เถอะนะ ช่างเค้าเถอะ เค้าบอกทางเราก็ดีแล้ว … รีบโกยอ้าวเข้าอาคารก่อนแขนจะไหม้เป็นปีกไก่ปิ้งจะดีกว่า

เข้าสู่ตัวอาคาร ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องทำความเย็น ทำให้ค่อยรู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย … แต่เอ....แล้วสำนักงาน GS1 Thailand ไปทางไหนเนี่ย … หลังจากมองหา ไดเรคทอรี่บอร์ด ไม่เจอ .. วิธีเดิมเลย “พี่คับ สำนักงาน GS1 Thailand ไปหนใดคับ “ คราวนี้พี่ยามคอยตรวจค้นเวลาเข้าอาคาร ชุดสีฟ้าสดใสแต่หน้าตาใจดี “ น้องเดินทะลุศูนย์อาหารนี้ไปเลยนะ จะเจอทางออกด้านหลัง แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป อยู่ชั้นสองนะ “ พูดจบพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ …” ขอบคุณมาก ๆคับพี่” …. เอ้อออนะ คนเรามีหลายประเภทแบบนี้แหล่ะ ถึงเรียกว่าโลกมนุษย์ ….

คิดพลางสาวเท้าก้าวสู่สำนักงาน ขึ้นบรรไดเลื่อนยังไม่ทันสุด พี่ยามรีบกุลีกุจอเชื้อเชิญ “มาติดต่อขอบาร์โค้ดใช่มั้ยครับ ทางนี้เลยครับ ๆ” พี่ยามบริการดีสุด ๆ ( แหมถ้าหน้าตาดีกว่านี้อีกสักนิดจะพามาเป็นยามหน้าประตูวิศวะ มอชอ ) …. เปิดประตูสำนักงานเข้าไป จ๊ะเอ๋ กับพนักงาน หญิง หนึ่ง ชายหนึ่ง นั่งหน้าแป้นแล้น คอยรอรับลูกค้ามาติดต่องาน พลันสายตาเหลือบไปมองพนักงานชาย ที่กำลังพูดโทรศัพท์ ด้วยเสียงแข็งกระด้าง พร้อมใบหน้าระอา ..ไอ้เราเห็นแล้ว เสียความรู้สึกจริง ๆ … พนักงานหญิงรีบถามเราว่าติดต่อขอบาร์โค้ดใช่มั้ยคะ นู้น นี่ นั่น บลา ๆ ๆ ๆ พร้อมแจงรายละเอียดอันดับแรกเลยคือ “ คุณต้องเสียเงินจำนวน.... นะคะ “ (แหมมมม เดี๋ยวนี้ประเด็นหลักไม่ว่าทำอะไร คือเงินเหรอเนี่ย ) “ได้ครับ เตรียมมาพร้อมแล้ว “ เราตอบไป ..
เอาล่ะคะ ดิฉันจะอธิบายบาร์โค้ดคร่าว ๆ ให้ฟังนะคะ ว่าตั้งอย่างไร “ แล้วคุณเธอก็อธิบายพร;ดเดียวจบ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนั่งดู แฮร์รี่พอร์ตเตอร์ เจ็ดภาครวด โดยไม่พักทานข้าวดื่มน้ำ ! เราได้แต่เออออ ห่อหมก ตาม ด้วยความคิดว่า เอาน่ะ ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนค่อยมาอบรมอีกที … แต่สุดท้ายก็เข้าใจแจ่มแจ้ง “ แต่เอกสารที่ต้องให้คุณไป ทางสำนักงานเราหมดนะคะ ไว้จะส่งให้ทางไปรษณีย์นะคะ วันนี้คุณจะได้แต่ใบเสร็จในการชำระเงินไปก่อนค่ะ “ อุ้ยยยยยย แหมมม สำนักงานระดับสากล ไหงปล่อยให้เอกสารคู่มือที่ต้องให้ลูกค้า หมดง่าย ๆ แบบนี้ละคร้าบบบ

ชำระเงิน ได้ใบเสร็จ คุณเธอก็กล่าวขอบคุณ พร้อมบอกว่า จะแจ้งผลให้ทราบทางอีเมล ไม่เกินเจ็ดวัน... กลับห้องนอนพักดีกว่าเรา เสร็จงานแล้วนี่นา ไม่ถึงชั่วโมงดีเลย ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำ … แต่ เอ๊ะ ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันนี่นา ไปหาไรทานดีกว่า … ตะกี้ตอนเดินมาสำนักงาน เห็นมีฟู๊ดเซ็นเตอร์ ..ไปทานที่นั่นดีกว่าเรา … คิดพลางเดินลงบันไดเลื่อนลงไปฟู๊ดเซ็นเตอร์ชั้นล่างของศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ..เปิดประตูเข้าไป โอ๊ววววว วแม่เจ้า คนหรือมดเนี่ย ไหงพลุกพล่านแบบนี้ อุดมด้วยพนักงานใส่สูทผูกไทด์ กันเต็มไปหมด ต่อคิวกันยาวเหยียด โต๊ะนั่งถูกจองเต็ม .. โอ้ยยยย แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ทานละเนี่ย อย่าดีกว่า ไปทานที่อื่นก็ได้ … คิดแล้วพลางวิ่งออกจากฟู๊ดเซนเตอร์ ออกไปหน้าศูนย์ประชุม เพื่อลงรู ไปยังรถไฟใต้ดิน ก่อนขึ้นรถไปลง เทอร์มินอล 21 แล้ววิ่งพรวด ๆ ๆ ขึ้นไปชั้นฟู๊ดเซนเตอร์ โอ๊วววววววว ภาพที่เห็นคือ ไม่ต่างจากที่ศูนย์ประชุมฯเลย คนเหมือนมดอีกแล้ว แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หิวก็หิว เอาวะ …. แลกบัตร เดินไปหาร้านที่คนน้อยสุด “ข้าวหมกไก่” …. ได้แล้ว เกือบได้กินแล้วววว แต่เจ้าประคุณเอ๋ย ต้องไปหาโต๊ะนั่ง ซึ่งไม่มีเลย คนนั่งเต็มหมด บางโต๊ะว่าง แต่ก็มีของวางไว้ เพื่อจอง เดินหาโต๊ะนั่ง เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี ทั้งคนไทย ต่างชาติ ต่างเล่นเกมนี้ด้วยกัน … อย่ากระนั้นเลย สายตาพลันมองไปเห็นลุงฝรั่งคนหนึ่งนั่งโต๊ะคนเดียว แต่มีเก้าอี้ว่างสองตัว เลยเดินไปถามขอนั่งด้วย ลุงฝรั่งใจดี บอกนั่งได้เล้ย … โอ้วว เหมือนสวรรค์มาโปรด ได้ทานข้าวสักที ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้ว …...

พออิ่ม ก็ขอบคุณลุงฝรั่ง (ซึ่งยังทานไม่เสร็จ) พร้อมลุกออกไปเดินย่อยอาหาร ชมห้าง เดินขึ้น ๆ ลง ๆ มองหาอะไรที่จะทำให้ความสนใจสะดุดได้ ...แต่ก็หาไม่เจอ ทุกอย่างของห้าง คล้าย ๆ กันกับทุก ๆ ห้าง เดินอยู่นานเลยตัดสินใจไปห้างอื่นดีกว่า พารากอน เข้าท่าดี ไม่ได้ไปนานมากแล้ว อยากไปดู สยามโอเชียนเวิร์ด

มาถึงพารากอนก็เกือบเย็นย่ำ … ( การเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองกรุงนี่ เสียเวลาเยอะจริง ๆ เลยนะ) หรืออาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยรู้เส้นทาง เลยใช้บริการแต่รถไฟฟ้า … ลงสถานีสยามก็เดินพรวด ๆ รีบเข้าพารากอน เพราะอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ … คิดไปเองหรือเปล่าไม่แน่ใจว่า อยู่เมืองหลวง หายใจไม่ค่อยออก แค่เดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้า เล่นเอาหอบ..... เข้าถึงในห้างพารากอน ค่อยรู้สึกสบายตัวหน่อย พลางสาวเท้าลงไปชั้นล่างสุดเพื่อจะไปดูสยามโอเชียนเวิร์ล แต่คิดไปคิดมา นี่ก็เย็นแล้ว สักพักจะเริ่มหิว คงไม่เป็นการสมควรแน่ถ้าไปหิวข้างในโอเชียลเวิร์ล ก่อนที่จะชมอะไรครบ อย่ากระนั้นเลย หาไรทานดีกว่า 55 …. คิดแล้วก็เดินต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ไปหาไรทาน... มองไปทางไหนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แน่นกันทุกร้าน เลยตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในซุปเปอร์มาเก็ตก่อนดีกว่า จะได้ซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายไปทำความสะอาดห้องด้วย …

หลังจับจ่ายซื้อนู้น นี่ นั่น เล็กน้อย ก็เดินออกมาจะชำระเงิน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านอาหารที่เปิดภายในซุปเปอร์มาเก็ต เป็นร้านอาหารสเปน ขายทาปาส และอาหารแนวสเปนประยุกต์ … แหม ๆ ไม่เคยทานอาหารสเปนซะด้วยเรา ว่าแล้วขอลองหน่อยดีกว่า … เดินไปนั่งบาร์ พร้อมขอดูเมนู พนักงานและกุ๊กมีสองคน รีบต้อนรับด้วยไมตรีดีสุด ๆ แนะนำเมนูอาหารขมักเขม้น น่าประทับใจจริง ๆ ...สุดท้ายแล้วก็เลยสั่งทาปาสหน้าหมูรมควันแบบพิเศษมาชิมหนึ่งชิ้นเป็นการเรียกน้ำย่อย และสปาเก็ตตี้ซีฟู๊ด เป็นเมนคอร์ส เชฟ เสริฟพั้นซ์ผลไม้ให้ฟรีแก้วนึง ( จากราคาแก้วละ 180 บาท ) แหม ๆ ๆ ๆ น่ารักซะจริง ๆ ..ด้วยความเกรงใจเราเลยสั่งไวน์สเปนหนึ่งแก้วมาแกล้มอาหาร ….. เป็นมื้ออาหารที่พิเศษอีกมื้อนึงเลยทีเดียว เพราะเป็นครั้งแรกที่ทานอาหารสเปน พร้อมเหมือนมีบริกรประจำตัว 555555 ดูแลเราดีสุด ๆ ก่อนอิ่มท้องและจ่ายเงินสำหรับมื้อนี้ไป หกร้อยกว่าบาท … เอาน่า ซื้อความรู้และประสบการณ์ คิดมากปวดหัว …. 5555

ละเลียดนั่งทานอาหารค่ำ มองดูวิถีชีวิตผู้คนเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง ตามสไตล์เมืองใหญ่ทุกเมือง ๆ พลันคิดว่า ไม่อยากให้เชียงใหม่เป็นแบบนี้เลย กลิ่นอายความเป็นเมืองเหนือคงหายไปสิ้น ทั้งวิถีชีวิตผู้คนที่คงต้องเปลี่ยนไป ….. แต่โลกย่อมเปลี่ยนแปลง และย่อมหมุนไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรอยู่ยืนยงไปได้ตลอด คงขึ้นอยู่กับตัวเราเองนี่แหล่ะ ว่าพร้อมที่จะอยู่กับมันได้ดีมากน้อยแค่ไหน หรือจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมันอย่างหัวชนฝา เราคงเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้ แต่เราสามารถปรับประยุกต์ความคิดเราเองได้


กลับถึงห้องพักหลังจากมื้ออาหารค่ำ ก็เกือบสามทุ่มแล้ว เดินเซ ๆ ไขกุญแจเข้าห้อง ก่อนล้มตัวลงบนโซฟายาวนุ่ม เอนหลังมองออกนอกหน้าต่างชั้นสิบ ไฟระยิบระยับของเมืองหลวงช่างสร้างอารมณ์ที่แตกต่างจากบ้านตัวเองมากมายนัก ความสงบที่นี่สามารถพบเจอได้เมื่อกลับเข้าสู่อารามของตัวเอง มีเส้นแบ่งแยกอะไรต่าง ๆ มากมายในสังคมเมืองใหญ่แบบนี้ ไม่เว้นแม้แต่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน เราจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสบายใจหรือความวางใจต่อคนรอบข้าง ผู้คนเหมือนมีกรอบใส ล้อมรอบตัวเองเอาไว้ตลอด แบ่งระหว่าง คนนั้น คนนี้ คนโน้น อย่างชัดเจนถึงแม้จะมองไม่เห็นกรอบนั้นก็ตาม …. หรือนี่เป็นเพียงเพราะตัวเราเองที่นาน ๆ จะมาสัมผัสเมืองกรุง เลยเป็นความรู้สึกของคนที่วิถีชีวิตปกติต่างจากวิถีของสังคมเมืองใหญ่อย่างสุดขั้ว.. …. พลันสมองและสายตาก้อดับมืดลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น