สิงหาคม
7,13 ไม่ทันได้ตั้งตัวเท่าไหร่
สำหรับการมาเมืองหลวงครั้งนี้
มาแบบกระทันหันจริง ๆ
ตัดสินใจมาและใช้เวลาเก็บเสื้อผ้าแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนกระโจนติดรถน้องที่เพิ่งบอกว่า
จะไปกรุงเทพฯตอนสามทุ่มนะ!!!
โดยส่วนตัวเริ่มแรกก็คิดอยู่ว่าคงต้องมาทำธุระเกี่ยวกับการขอรหัสบาร์โค้ดที่กรุงเทพ
เพราะกลัวว่า ถ้าขอผ่านทางระบบไปรษณีย์
จะมีปัญหามาก (
อันที่จริงคือ
เอกสารที่ใช้ประกอบการขอยื่นไม่ครบ
คือขาด สำเนา ภงด.91)
อย่ากระนั้นเลย
บุกไปถึงที่แล้วชี้แจงด้วยตัวเอง
ดูจะเป็นวิธีที่เข้าท่า
และสะดวกสุด ผ่านไม่ผ่าน
รู้ผลทันที ไม่ต้องรอสองสัปดาห์ให้วุ่นวายใจ
แต่คิดไปคิดมา
ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการทำธุระที่เมืองหลวงครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าสามหมื่นบาท
โฮ้ววววว จะเอาเงินที่ไหนละเนี่ย
เงินเก็บที่มีก็ไม่น่าจะพอ
… คือถ้าไป ไปได้
แต่กลับมาจะไม่เหลือเงินไว้ใช้จ่ายเลย
… ฉับพลันเหมือนสวรรค์เป็นใจ
ให้ได้(ยืม)เงินจากคลังหลวง
! ฮู้ววววววว
ยืมก็ยืม … เพราะติดรถน้องไป
จะได้ประหยัดค่าเดินทางขาลง
…. เมื่อการเงินลงตัว
พาหนะลงตัว ก็โกอะเฮด
มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง ณ เวลา
สี่ทุ่ม โดยมีสารถีคือน้องชายตัวเอง
… ส่วนเรารึ … นั่งและหลับ
นั่งและหลับ จนถึงกรุงเทพเลย
หลับ
ๆ ตื่น ๆ คุย ๆ จนฟ้าสว่าง
เหลียวมองข้างทางก็เข้าเขตจังหวัดอยุธยาแล้ว
มองไปทางไหนก้อเห็นแต่ป้าย
ๆ ๆ ๆ โฆษณา ร้านนู้น นี่ นั่น
วัด นู้น นี่ นั่น กันเต็มสองข้างทาง
พลันก็คิดว่า แถบภาคกลางนี่
นิยมทำป้ายใหญ่ ๆ โต ๆ กันจริง
ๆ คงเพราะเพื่อความสะดุดตาละมั้ง
ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
แต่ที่แน่ใจคือ
รถบัสที่วิ่งแถบนี้แทบทุกคัน
จะเพ้นท์ตัวรถเป็นลวดลายการ์ตูนญี่ปุ่นกันทุกคัน
ดูแล้วลายหูลายตา
ระคนความประหลาดใจว่าเพราะอะไร
บางคันมีลวดลายการ์ตูนผู้หญิงนมโตด้วยล่ะ
!!!!
เอ้า
…..
คงเป็นความนิยมทางจังหวัดแถบนี้...
คิด ๆ ได้ทันไร
ก็เริ่มเข้าเขตดอนเมือง
โดยน้องขับขึ้นทางด่วน ..
ขึ้นปุ๊บ รถติดปั๊บ
…. ด่วนตรงไหนเนี่ย
..
คงเพราะมาถึงช่วงแปดโมงเช้า
ที่จำนวนรถคึกคักเพื่อไปโรงเรียน
ไปทำงาน รถมหาศาลจึงไปติดกันอยู่บนทางด่วน
… กว่าจะถึงคอนโด ที่วงเวียนใหญ่
ก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมงเช้า
เรียกได้ว่า ระโหยกันทั้งพี่ทั้งน้อง
ดีหน่อยที่มากรุงเทพฯคราวนี้
ไม่ต้องพะวงเรื่องโรงแรมที่พัก
(
ประหยัดเงินไปได้อีกหลายพันเลยทีเดียว)
เพราะน้องชายได้ซื้อคอนโดไว้อีกที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซะด้วย
….
(เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก)
เราเลยได้อานิสงฆ์พักที่นี่แหล่ะ
ส่วนน้องชาย ไปพักที่ตอนโดลุมพินี...
ถึงคอนโด(เป็นคอนโดสร้างใหม่)
ทุกอย่างเลยดูใหม่
และยังมีส่วนที่ก่อสร้างอยู่บ้าง
แต่ไม่ใช่ปัญหา สบายกว่าไปพักโรงแรมเป็นไหน
ๆ มีครัว เตาไฟฟ้า ตู้เย็น
ไมโครเวฟ ทีวี ดรีมบ๊อกซ์
ที่นอนนุ่ม ๆ เครื่องปรับอากาศเสียงหึ่ง
ๅ สองตัว ฝักบัวแบบน้ำตกใหญ่สะใจ
โซฟายาว รวมไปถึงเครื่องซักผ้า
….. สบายละ....
เข้าห้องได้ก็นอนพักหลังจากปวดเมื่อยกับการนั่งรถมาทั้งคืน
( ทั้ง
ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนขับ
แต่ไหงรู้สึกปวดระบมไปทั้งตัวแบบนี้นะ
)
ส่วนน้องก็ไปหลับที่ตอนโดลุมพินี
ไอ้เรารึ..
ก่อนเข้าห้องก็ว่าจะขอหลับให้สบายสักวัน
พรุ่งนี้ค่อยไปทำธุระ...
แต่พอเข้าห้องแล้ว
ดันตาสว่าง ไม่ง่วง ไม่เพลีย
แต่ปวดทั้งตัวเลยทีเดียว
อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ ก็ไม่ง่วงละ
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
แล้วไปทำธุระเลยดีกว่า
เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้มีเวลาเตรียมตัวพอ.....
คิดได้แบบนี้แล้ว
ก้อพาสังขารา ตัวเองเข้าห้องน้ำ
แก้ผ้า ทำธุระยามเช้า อาบน้ำ
แปรงฟัน แต่งตัว แล้ว ออกตะลุย
เมืองหลวง (
ที่ไม่ได้มาเยือนหลายเพลาแล้ว
) ก้าวแรกที่ออกคอนโด
ความร้อนอบอ้าว เข้าประทะใบหน้าและลำตัว
แทบเซ พยายามหายใจเฮือกใหญ่
เพื่อพยายามกรองออกซิเจนในอากาศเข้าปอด
ซึ่งรู้สึกทำได้ยากมาก
หายใจลำบากเหมือนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์
(
สงสัยปริมาณออกซิเจนในอากาศมีน้อย
หรือไม่ก็ ไม่ชินกับสภาพอากาศแบบนี้
) เพราะอยู่เชียงใหม่
สูดอากาศได้เต็มปอด
หายใจสะดวกโล่งสบายกว่านี้มากนัก
…. หายใจเฮือกใหญ่
อยู่สามสี่เฮีอก ก็ก้าวเท้าออกสู่ถนนใหญ่
… เอาล่ะ จะไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์
จะไปไงดีหวา รถไฟฟ้า หรือ
แท๊กซี่ดี คิดไปคิดมาอยู่สองสามตลบ
ก็สรุปว่า วันนี้วันแรกยอมไปแท๊กซี่ก่อนดีกว่า
จะได้ศึกษาเส้นทางไว้บ้าง
คิดไม่ทันจบ แท๊กซี่ก็มาจอดตรงหน้า
อะฮ้า ป้ายว่างแดงโร่ เลย
… เปิดประตูถาม “ พี ๆ
ไปศูนย์สิริกิติ์มั้ยคับ
“ คนขับแท๊กซี่รีบบอกว่า
“เวลาไม่พอ” อ๊ะ !
ไม่เป็นไร ไปคันอื่นก็ได้
… ปิดประตูคันแรก
แท๊กซี่อีกคันก็ขับมาจอดต่อพอดี
เลยเดินไปเปิดประตูถามเหมือนเดิม
คราวนี้ พี่คนขับบอกว่า
“ไป” .”
แต่ขอไปทางพระรามสามนะ
เพราะทางสาธรติดม๊อบ “
“โอเคพี่ ทางไหนก้อได้คับ”
พูดตอบไปพลางเปิดประตูรถด้านหลังเข้าไปนั่งจุมปุ๊กทันที
… แท๊กซี่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกสู่ถนน
จนถึงศูนย์ประชุมสิริกิติ์
ด้วยมิเตอร์ 185
บาท ..
แอบแพงอยู่นะเนี่ย
(คิดในใจพลาง
เฮ้ออ ช่างเถอะ ถือว่าได้ชมเมือง
)
เลยควักแบงค์ร้อยให้ไปสองใบ
พร้อมบอก “ไม่ต้องทอนคับพี่”
ลงจากแท๊กซี่ได้ก็รีบสาวเท้าเข้าศูนย์ประชุมทันทีเพราะแดดเปรี้ยงมาก
แสบแขนแล้ว … แต่มองซ้ายมองขวา
จะไปทางไหนดีเนี่ย ไม่เคยมาซะด้วย
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ยามชุดสีฟ้าสดใสหน้าตาเอาเรื่อง...
เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถาม
“ พี่คับ อาคารซี ไปหนใดคับพี่”
“ตึกสุดท้ายขวามือเลยน้อง
นู้น ๆ น่ะ “ พี่แกพูดด้วยใบหน้าเอาเรื่อง
พลางชี้มือบอกทาง
ก่อนรีบวิ่งไปเปิดรั้วกั้นประตูรถให้เมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์สะท้อนแสงจนแสบตา
ก่อนตะเป๊ะให้รถ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม....
ไหงคนละหน้ากะเวลาพูดกับช้านนนละเนี่ยยยย
!!! แต่ก็เถอะนะ
ช่างเค้าเถอะ เค้าบอกทางเราก็ดีแล้ว
… รีบโกยอ้าวเข้าอาคารก่อนแขนจะไหม้เป็นปีกไก่ปิ้งจะดีกว่า
เข้าสู่ตัวอาคาร
ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องทำความเย็น
ทำให้ค่อยรู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย
… แต่เอ....แล้วสำนักงาน
GS1 Thailand ไปทางไหนเนี่ย
… หลังจากมองหา ไดเรคทอรี่บอร์ด
ไม่เจอ ..
วิธีเดิมเลย “พี่คับ
สำนักงาน GS1
Thailand ไปหนใดคับ “
คราวนี้พี่ยามคอยตรวจค้นเวลาเข้าอาคาร
ชุดสีฟ้าสดใสแต่หน้าตาใจดี
“ น้องเดินทะลุศูนย์อาหารนี้ไปเลยนะ
จะเจอทางออกด้านหลัง
แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป
อยู่ชั้นสองนะ “ พูดจบพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ
…” ขอบคุณมาก ๆคับพี่” ….
เอ้อออนะ
คนเรามีหลายประเภทแบบนี้แหล่ะ
ถึงเรียกว่าโลกมนุษย์ ….
คิดพลางสาวเท้าก้าวสู่สำนักงาน
ขึ้นบรรไดเลื่อนยังไม่ทันสุด
พี่ยามรีบกุลีกุจอเชื้อเชิญ
“มาติดต่อขอบาร์โค้ดใช่มั้ยครับ
ทางนี้เลยครับ ๆ” พี่ยามบริการดีสุด
ๆ (
แหมถ้าหน้าตาดีกว่านี้อีกสักนิดจะพามาเป็นยามหน้าประตูวิศวะ
มอชอ ) ….
เปิดประตูสำนักงานเข้าไป
จ๊ะเอ๋ กับพนักงาน หญิง หนึ่ง
ชายหนึ่ง นั่งหน้าแป้นแล้น
คอยรอรับลูกค้ามาติดต่องาน
พลันสายตาเหลือบไปมองพนักงานชาย
ที่กำลังพูดโทรศัพท์
ด้วยเสียงแข็งกระด้าง
พร้อมใบหน้าระอา ..ไอ้เราเห็นแล้ว
เสียความรู้สึกจริง ๆ …
พนักงานหญิงรีบถามเราว่าติดต่อขอบาร์โค้ดใช่มั้ยคะ
นู้น นี่ นั่น บลา ๆ ๆ ๆ
พร้อมแจงรายละเอียดอันดับแรกเลยคือ
“ คุณต้องเสียเงินจำนวน....
นะคะ “ (แหมมมม
เดี๋ยวนี้ประเด็นหลักไม่ว่าทำอะไร
คือเงินเหรอเนี่ย )
“ได้ครับ เตรียมมาพร้อมแล้ว
“ เราตอบไป ..
“เอาล่ะคะ
ดิฉันจะอธิบายบาร์โค้ดคร่าว
ๆ ให้ฟังนะคะ ว่าตั้งอย่างไร
“ แล้วคุณเธอก็อธิบายพร;ดเดียวจบ
ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนั่งดู
แฮร์รี่พอร์ตเตอร์ เจ็ดภาครวด
โดยไม่พักทานข้าวดื่มน้ำ
! เราได้แต่เออออ
ห่อหมก ตาม ด้วยความคิดว่า
เอาน่ะ ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนค่อยมาอบรมอีกที
… แต่สุดท้ายก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
“ แต่เอกสารที่ต้องให้คุณไป
ทางสำนักงานเราหมดนะคะ
ไว้จะส่งให้ทางไปรษณีย์นะคะ
วันนี้คุณจะได้แต่ใบเสร็จในการชำระเงินไปก่อนค่ะ
“ อุ้ยยยยยย แหมมม สำนักงานระดับสากล
ไหงปล่อยให้เอกสารคู่มือที่ต้องให้ลูกค้า
หมดง่าย ๆ แบบนี้ละคร้าบบบ
ชำระเงิน
ได้ใบเสร็จ คุณเธอก็กล่าวขอบคุณ
พร้อมบอกว่า จะแจ้งผลให้ทราบทางอีเมล
ไม่เกินเจ็ดวัน...
กลับห้องนอนพักดีกว่าเรา
เสร็จงานแล้วนี่นา
ไม่ถึงชั่วโมงดีเลย
ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำ … แต่
เอ๊ะ ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันนี่นา
ไปหาไรทานดีกว่า …
ตะกี้ตอนเดินมาสำนักงาน
เห็นมีฟู๊ดเซ็นเตอร์
..ไปทานที่นั่นดีกว่าเรา
…
คิดพลางเดินลงบันไดเลื่อนลงไปฟู๊ดเซ็นเตอร์ชั้นล่างของศูนย์ประชุมสิริกิติ์
..เปิดประตูเข้าไป
โอ๊ววววว วแม่เจ้า คนหรือมดเนี่ย
ไหงพลุกพล่านแบบนี้
อุดมด้วยพนักงานใส่สูทผูกไทด์
กันเต็มไปหมด ต่อคิวกันยาวเหยียด
โต๊ะนั่งถูกจองเต็ม ..
โอ้ยยยย
แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ทานละเนี่ย
อย่าดีกว่า ไปทานที่อื่นก็ได้
… คิดแล้วพลางวิ่งออกจากฟู๊ดเซนเตอร์
ออกไปหน้าศูนย์ประชุม
เพื่อลงรู ไปยังรถไฟใต้ดิน
ก่อนขึ้นรถไปลง เทอร์มินอล
21 แล้ววิ่งพรวด
ๆ ๆ ขึ้นไปชั้นฟู๊ดเซนเตอร์
โอ๊วววววววว ภาพที่เห็นคือ
ไม่ต่างจากที่ศูนย์ประชุมฯเลย
คนเหมือนมดอีกแล้ว แต่ไหน
ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หิวก็หิว เอาวะ
…. แลกบัตร
เดินไปหาร้านที่คนน้อยสุด
“ข้าวหมกไก่” ….
ได้แล้ว เกือบได้กินแล้วววว
แต่เจ้าประคุณเอ๋ย ต้องไปหาโต๊ะนั่ง
ซึ่งไม่มีเลย คนนั่งเต็มหมด
บางโต๊ะว่าง แต่ก็มีของวางไว้
เพื่อจอง เดินหาโต๊ะนั่ง
เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี
ทั้งคนไทย ต่างชาติ
ต่างเล่นเกมนี้ด้วยกัน …
อย่ากระนั้นเลย
สายตาพลันมองไปเห็นลุงฝรั่งคนหนึ่งนั่งโต๊ะคนเดียว
แต่มีเก้าอี้ว่างสองตัว
เลยเดินไปถามขอนั่งด้วย
ลุงฝรั่งใจดี บอกนั่งได้เล้ย
… โอ้วว เหมือนสวรรค์มาโปรด
ได้ทานข้าวสักที ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้ว
…...
พออิ่ม
ก็ขอบคุณลุงฝรั่ง (ซึ่งยังทานไม่เสร็จ)
พร้อมลุกออกไปเดินย่อยอาหาร
ชมห้าง เดินขึ้น ๆ ลง ๆ
มองหาอะไรที่จะทำให้ความสนใจสะดุดได้
...แต่ก็หาไม่เจอ
ทุกอย่างของห้าง คล้าย ๆ
กันกับทุก ๆ ห้าง
เดินอยู่นานเลยตัดสินใจไปห้างอื่นดีกว่า
พารากอน เข้าท่าดี ไม่ได้ไปนานมากแล้ว
อยากไปดู สยามโอเชียนเวิร์ด
มาถึงพารากอนก็เกือบเย็นย่ำ
… (
การเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองกรุงนี่
เสียเวลาเยอะจริง ๆ เลยนะ)
หรืออาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยรู้เส้นทาง
เลยใช้บริการแต่รถไฟฟ้า …
ลงสถานีสยามก็เดินพรวด ๆ
รีบเข้าพารากอน เพราะอากาศที่ร้อนระอุ
ทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ
… คิดไปเองหรือเปล่าไม่แน่ใจว่า
อยู่เมืองหลวง หายใจไม่ค่อยออก
แค่เดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้า
เล่นเอาหอบ.....
เข้าถึงในห้างพารากอน
ค่อยรู้สึกสบายตัวหน่อย
พลางสาวเท้าลงไปชั้นล่างสุดเพื่อจะไปดูสยามโอเชียนเวิร์ล
แต่คิดไปคิดมา นี่ก็เย็นแล้ว
สักพักจะเริ่มหิว
คงไม่เป็นการสมควรแน่ถ้าไปหิวข้างในโอเชียลเวิร์ล
ก่อนที่จะชมอะไรครบ อย่ากระนั้นเลย
หาไรทานดีกว่า 55
…. คิดแล้วก็เดินต๊อก
ๆ แต๊ก ๆ ไปหาไรทาน...
มองไปทางไหนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน
แน่นกันทุกร้าน
เลยตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในซุปเปอร์มาเก็ตก่อนดีกว่า
จะได้ซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายไปทำความสะอาดห้องด้วย
…
หลังจับจ่ายซื้อนู้น
นี่ นั่น เล็กน้อย ก็เดินออกมาจะชำระเงิน
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านอาหารที่เปิดภายในซุปเปอร์มาเก็ต
เป็นร้านอาหารสเปน ขายทาปาส
และอาหารแนวสเปนประยุกต์
… แหม ๆ ไม่เคยทานอาหารสเปนซะด้วยเรา
ว่าแล้วขอลองหน่อยดีกว่า
… เดินไปนั่งบาร์ พร้อมขอดูเมนู
พนักงานและกุ๊กมีสองคน
รีบต้อนรับด้วยไมตรีดีสุด
ๆ แนะนำเมนูอาหารขมักเขม้น
น่าประทับใจจริง ๆ
...สุดท้ายแล้วก็เลยสั่งทาปาสหน้าหมูรมควันแบบพิเศษมาชิมหนึ่งชิ้นเป็นการเรียกน้ำย่อย
และสปาเก็ตตี้ซีฟู๊ด
เป็นเมนคอร์ส เชฟ
เสริฟพั้นซ์ผลไม้ให้ฟรีแก้วนึง
( จากราคาแก้วละ
180 บาท
) แหม
ๆ ๆ ๆ น่ารักซะจริง ๆ
..ด้วยความเกรงใจเราเลยสั่งไวน์สเปนหนึ่งแก้วมาแกล้มอาหาร
…..
เป็นมื้ออาหารที่พิเศษอีกมื้อนึงเลยทีเดียว
เพราะเป็นครั้งแรกที่ทานอาหารสเปน
พร้อมเหมือนมีบริกรประจำตัว
555555 ดูแลเราดีสุด
ๆ ก่อนอิ่มท้องและจ่ายเงินสำหรับมื้อนี้ไป
หกร้อยกว่าบาท … เอาน่า
ซื้อความรู้และประสบการณ์
คิดมากปวดหัว ….
5555
ละเลียดนั่งทานอาหารค่ำ
มองดูวิถีชีวิตผู้คนเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง
ตามสไตล์เมืองใหญ่ทุกเมือง
ๆ พลันคิดว่า ไม่อยากให้เชียงใหม่เป็นแบบนี้เลย
กลิ่นอายความเป็นเมืองเหนือคงหายไปสิ้น
ทั้งวิถีชีวิตผู้คนที่คงต้องเปลี่ยนไป
…..
แต่โลกย่อมเปลี่ยนแปลง
และย่อมหมุนไปตามกาลเวลา
ไม่มีอะไรอยู่ยืนยงไปได้ตลอด
คงขึ้นอยู่กับตัวเราเองนี่แหล่ะ
ว่าพร้อมที่จะอยู่กับมันได้ดีมากน้อยแค่ไหน
หรือจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมันอย่างหัวชนฝา
เราคงเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้
แต่เราสามารถปรับประยุกต์ความคิดเราเองได้
กลับถึงห้องพักหลังจากมื้ออาหารค่ำ
ก็เกือบสามทุ่มแล้ว เดินเซ
ๆ ไขกุญแจเข้าห้อง
ก่อนล้มตัวลงบนโซฟายาวนุ่ม
เอนหลังมองออกนอกหน้าต่างชั้นสิบ
ไฟระยิบระยับของเมืองหลวงช่างสร้างอารมณ์ที่แตกต่างจากบ้านตัวเองมากมายนัก
ความสงบที่นี่สามารถพบเจอได้เมื่อกลับเข้าสู่อารามของตัวเอง
มีเส้นแบ่งแยกอะไรต่าง ๆ
มากมายในสังคมเมืองใหญ่แบบนี้
ไม่เว้นแม้แต่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
เราจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสบายใจหรือความวางใจต่อคนรอบข้าง
ผู้คนเหมือนมีกรอบใส
ล้อมรอบตัวเองเอาไว้ตลอด
แบ่งระหว่าง คนนั้น คนนี้
คนโน้น อย่างชัดเจนถึงแม้จะมองไม่เห็นกรอบนั้นก็ตาม
….
หรือนี่เป็นเพียงเพราะตัวเราเองที่นาน
ๆ จะมาสัมผัสเมืองกรุง
เลยเป็นความรู้สึกของคนที่วิถีชีวิตปกติต่างจากวิถีของสังคมเมืองใหญ่อย่างสุดขั้ว..
…. พลันสมองและสายตาก้อดับมืดลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น