วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ไวน์ ทำเองได้ ง่ายจัง


          ด้วยนิสัยชอบจิบไวน์ จึงเป็นธรรมดาที่จะสรรหาไวน์หลากหลายชนิดมาลิ้มลอง ทั้งไวน์แดง ไวน์ขาว ไม่เว้นแม้แต่ไวน์หวาน หรือแชมเปญ .. วันไหนอากาศดี ต้องจัดสรรมาจิบสักแก้ว ยิ่งช่วงอากาศเย็น ๆ ลมพัดเอื่อย ๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศและรสชาติไวน์ละมุนยิ่งขึ้น

          และด้วยการชอบจิบไวน์นี่เอง ทำให้อยากลองทำไวน์จิบเอง จึงหาข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง มีวิธีทำไวน์หลากหลายวิธี แต่ล้วนแล้วแต่อิงจากวิธีดั้งเดิมทั้งสิ้น ( คำว่าดั้งเดิมคือ การทำไวน์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มเดิมที ที่โลกยังไม่ก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์อย่างทุกวันนี้ ) จึงได้ไอเดีย และตั้งใจทำไวน์แบบดั้งเดิมไว้จิบเอง

          โดยทั่วไปทุกท่านคงทราบกันดีว่า ไวน์ แบ่งโดยหลัก ๆ ได้ สองแบบ คือ ไวน์แดง ที่ผลิตจากองุ่นแดงเข้ม หรือองุ่นแดงดำ ส่วนอีกแบบคือ ไวน์ขาว ที่ผลิตจากองุ่นขาว ( ทำไมต้องเป็นองุ่น ... เพราะแรกเริ่มเดิมที ไวน์ผลิตจากองุ่น เพราะให้รสชาติที่หอม หวานกำลังดี ไม่เปรี้ยวมาก และไม่ฝาดมาก นั่นเอง ) ทั้งนี้ต้องขึ้นกับแหล่งที่ปลูกองุ่นและพันธุ์ขององุ่น ที่จะเป็นตัวแปรให้กลิ่น รสชาติ และสี ของไวน์แตกต่างกันไป   ส่วนไวน์อัดก๊าซ เรามักเรียก สปาร์คลิงค์ไวน์  ที่โด่งดัง คนไทยรู้จักกันดี ก็คือ แชมเปญ  ทำไมถึงชื่อแชมเปญ ? ไวน์ที่จะเรียกว่าแชมเปญได้ คือต้องใช้องุ่นที่ปลูกในเมืองแชมเปญ หรือแชมปิยอง ของฝรั่งเศส และผลิตไวน์ ที่นี่เท่านั้น ถึงจะเรียก แชมเปญ แต่ถ้าผลิตที่อื่น หรือใช้องุ่นที่ปลูกจากที่อื่นแล้วอัดก๊าซ เราจะเรียก สปาร์คลิงค์ไวน์  แล้วแยกตามยี่ห้อกันไป  ....

          แต่การทำไวน์ของผมคราวนี้ เราจะไม่อิงวิทยาศาสตร์มากมายนัก เพื่อให้ได้อารมณ์ของไวน์แบบดั้งเดิมกันครับ  อาจจะดูบ้าน ๆ แต่นี่คือวิธีทำไวน์ของคนโบราณเค้าละครับ อิอิ

          เริ่มแรก ผมไปเดินโลตัส เห็นขายองุ่นแดง ( ซึ่งไม่แดงเท่าไหร่เลย ) ราคาถูกน่าซื้อ ( กิโลกรัมละ 54 บาท ) เลยสอยมา สองกิโลกรัม ก่อนกลับบ้าน ก็แวะซื้อยีสต์สำหรับทำไวน์ มากระปุกนึง ( หากหาซื้อยีสต์สำหรับทำไวน์โดยเฉพาะไม่ได้ สามารถใช้ยีสต์แห้งที่เอาไว้ทำขนมปังก็ได้นะครับ ) พอถึงบ้านก็จัดการล้างองุ่นไม่ต้องให้สะอาดมาก แค่แช่น้ำไว้สักครึ่งชั่วโมงแล้วนำมาสะเด็ดน้ำให้แห้ง ( เพราะไม่อยากให้จุลินทรีย์ที่เกาะตามเปลือกองุ่นหายไปหมดไงครับ ) จากนั้นก็นำองุ่นมาค่อย ๆ บด ขยี้ ปู้ยี้ปู้ยำให้หนำใจ บังคับ ขืนใจองุ่นน้อย ๆ ทั้งหลายให้น้ำแตกกระจาย  ( อย่าคิดลึกนะครับ ) ในสมัยก่อนเค้าจะเอาองุ่นใส่ในถังไม้ แล้วลงไปย่ำ ๆ  ๆ  ๆ  ๆ เต้นรำในถัง ย่ำองุ่นให้น้ำแตก ... ใจผมก็อยากลองทำแบบนั้นแหล่ะ แต่หาถังไม้ไม่ได้ 555 เลยใช้ถังพลาสติก แล้วใช้สากไม้ค่อย ๆ บี้ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เอาครับ เคล็ดลับคือ ต้องเบา ๆ มือ เพื่อไม่ให้เมล็ดองุ่นแตก ไม่งั้น สารเทนนินในเมล็ดองุ่นจะทำให้ไวน์ขมครับ




        เมื่อบด ขยี้ จนชุ่มน้ำแล้ว ก็นำไปชั่งครับ โดยสัดส่วนของผมที่ใช้คือ น้ำองุ่นพร้อมกากสามกิโลกรัม ต่อน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ต่อ ยิสต์ 2 ช้อนชา เติมน้ำอีก 3 กิโลกรัม ..... ง่าย ๆ แบบนี้แหล่ะครับ

          การทำไวน์จะแยกเป็นสองขั้นตอนครับ คือการหมัก และ การบ่ม ... เราจะเริ่มที่การหมักกันก่อนเลยครับ โดยการนำน้ำองุ่นที่เราบด ๆ  ๆ ๆ เมื่อกี้ ตักออกมาสัก 1 แก้ว  ( เพื่อเลี้ยงยีสต์ ให้ยีสต์ปรับตัวก่อน ) แล้วเติมน้ำตาลทรายลงไป สัก 4 ช้อนโต๊ะ คนให้น้ำตาลละลาย  จากนั้นนำยีสต์ 2 ช้อนชา  เติมลงในไวน์แก้วนัั้นค่อย ๆ คน  แล้วทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงให้ยีสต์กินน้ำตาลก่อนครับ ( ผมจะเรียกของในแก้วนี้ว่า starter ละกันนะครับ )  .... ระหว่างนี้เราก็หันไปเตรียมส่วนที่เหลือ โดยนำน้ำเปล่า3 กิโลกรัมผสมกับน้ำตาลทรายที่เหลือทั้งหมด คน ๆ  ๆ  ให้น้ำตาลละลาย จากนั้นเติมน้ำองุ่นที่ขยี้ไว้ พร้อมทั้งเปลือก กาก องุ่น ลงไปในขวดที่เราจะใช้บ่ม คน ๆ ให้เข้ากัน

 หันมาอีกที ยีสต์เริ่มกินน้ำตาลในแก้วแล้ว  จัดการเท starter ลงในขวดน้ำหมักที่เราเตรียมไว้ได้เลยครับ  โดยต้องอย่าให้เต็มขวดนะครับ เหลือพื้นที่ไว้ให้เกิดแรงดันด้วยครับ ไม่งั้นเดี๋ยวขวดระเบิด ( หลาย ๆ ตำราบอกว่าขวดที่ใช้หมักต้องเป็นขวดแก้วเท่านั้น แต่ผมวิเคราะห์หลายตลบแล้ว ว่าขวดพลาสติกก็สามารถใช่ได้ )  .... โดยใช้ผ้าขาวบางยัดปิดปากขวดเอาไว้ครับ  .... อย่าปิดสนิทนะครับ    กล่าวคือ ต้องปิดห้ามให้อากาศภายนอกเข้าในขวด แต่ต้องให้อากาศในขวดออกข้างนอกได้  ... งงมั้ยครับ 55555 ผ้าขาวบางคือคำตอบครับ จับยัด ๆ ๆ ๆ ปิดรูเอาไว้ เป็นอันใช้ได้  หลาย ๆ คนปิดขวดแน่นด้วยฝาเกลียว ไม่เกิน สามวัน ระเบิดแน่นอนครับ 55555555


       
           เพียงเท่านี้ เราก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับขั้นตอนการหมักแล้ว  ..... หมักไว้แบบนี้ราว 2 สัปดาห์ครับ โดยให้สังเกต หากผ่านไป 24 ชั่วโมงแล้ว ถ้ายีสต์เริ่มกินน้ำตาล ( ซึ่งถูกต้องแล้ว ) ยีสต์จะคายเอททิล แอลกอฮอล์ ออกมาไงครับ  .....

          จะสังเกตได้คือ มีฟองปุด ๆ ๆ  เหมือนเดือดปุด ๆ ๆ ๆ ลอยขึ้นมาอยู่ผิวน้ำครับ และลองดมดูที่จุกผ้าขาวบาง จะเริ่มได้กลิ่นแอลกอฮอล์   .... แบบนี้ก็ ร้อง เย้ ได้เลยครับ แสดงว่า กระบวนการหมัก สำเร็จแล้ว  เพราะถ้ากระบวนการหมักไม่เกิดขึ้น ( นั่นหมายความว่า จุลินทรีย์ ชนะ ยีสต์ ) น้ำที่ได้จะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำส้มสายชูครับ  แต่ถ้ายีสต์ชนะจุลินทรีย์ มันจะกลายเป็นไวน์ครับ  ง่าย ๆ แบบนี้แหล่ะ

       
           เห็นมั้ยครับว่า ในขั้นตอนการหมัก ผมไม่ได้อาศัยหลักวิทยาศาสตร์อะไรเลย ใช้แค่การชั่ง ตวง เท่านั้นเอง ไม่ต้องวัดค่าอะไรให้วุ่นวาย

          ผ่านไปสองสัปดาห์ ยีสต์จะกินน้ำตาลและคายเอททิลออกมาในระดับที่น่าพอใจ เราจะมาเริ่มขั้นตอนการบ่ม กันต่อละนะครับ

          สำหรับโรงงานผลิตไวน์เพื่อการค้าใหญ่ ๆ เค้าจะพิถีพิถันในขั้นตอนนี้มาก คือต้องวัดระดับแอลกอฮอล์ที่ได้ให้อยู่ในระดับ 12%-17% เมื่อวัดได้แล้ว เค้าจะเติมสารเพื่อหยุดกระบวนการหมัก และเติมสารให้ไวน์ใส คือให้กากองุ่นตกตะกอนนั่นเองครับ เพื่อให้ไวน์ใส ๆ  ๆ ๆ  ปิ้ง ๆ ๆ ๆ  แต่ของเราไม่ครับ
เราไม่เติมอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องใช้สารเคมีมาประกอบไวน์ที่เราจะทำไว้ดื่มเอง ( เพราะในสมัยก่อนไม่มีสารเคมีมาช่วยให้ไวน์ใส หรือหยุดการหมักของยีสต์ ) เราทำเพียงแค่กรองครับ
ใช้ผ้าขาวบางพับหลาย ๆ ชั้น เพื่อให้ตาข่ายถี่มากทีสุด แล้วเทไวน์กรองลงใส่ขวดที่ล้าง และต้มฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว ส่วนใครจะเติมสี เติมกลิ่น อะไรลงไปเพิ่ม สามารถเติมได้ในขั้นตอนนี้แหล่ะครับ เมื่อบรรจุขวดเรียบร้อยแล้ว ( หรือถ้าใครมีถังไม้ก็จะดีมากครับ เพราะกลิ่นของไม้จะแทรกซึมเข้าในเนื้อไวน์ ทำให้ไวน์มีกลิ่นหอมมากขึ้น  แต่ผมไม่มีครับ เลยบ่มในขวดแก้วนี่แหล่ะ ) เราจะนำไวน์ไปพาสเจอร์ไรส์เบา ๆ เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ครับ โดยการตั้งหม้อต้มน้ำ ไม่ต้องให้เดือดมาก ( ขั้นตอนนี้ควรมีเทอร์โมมิเตอร์ไว้วัดอุณหภูมิน้ำจะดีมากครับ ) คือ พยายามอย่าให้น้ำร้อนเกิน 65 องศาเซลเซียส เพราะถ้าความร้อนสูงเกินจะไปสลายแอลกอฮอล์น่ะครับ  จากนั้นนำขวดที่เราบรรจไวน์ไว้ ลงไปวางในน้ำต้ม เพื่อฆ่าเชื้อได้เลยครับ ( อย่าปิดฝาขวดนะครับ เพราะในขวดยังมีแรงดันอยู่ ) ต้มเบา ๆ คอยจับขวดดูว่าร้อนเกินไปหรือเปล่า แค่ให้พออุ่น ๆ นะครับ ต้มเบา ๆ สักสิบนาทีก็พอแล้วครับ ยกออกจากหม้อ มาตั้งพักไว้ แล้วปิดจุกขวดทันที ผมใช้จุกยางที่ทำเลียนแบบจุกค๊อกครับ หาซื้อง่าย และปิดขวดง่ายด้วยครับ อิอิ


         ทีนี้ก็นำขวดไวน์ไปหาที่บ่มครับ ที่ไหนก็ได้ ที่อากาศเย็นคงที่ ไม่ร้อน ไม่เจอแดด เป็นใช้ได้ทั้งนั้นครับ คนสมัยก่อนเค้าบ่มห้องใต้ดินไงครับ  ระยะเวลาบ่ม ที่ดีคือ 1 ปีครับ จริง ๆ แล้ว สัก 3 เดือนก็นำมาเปิดชิมได้ จะเรียกว่าไวน์หวานครับ คือ ไวน์จะมีรสหวานหลงเหลือมากอยู่ครับ จิบกับมื้ออาหารค่ำใต้แสงเทียนกับคู่รัก  ฮู้ยยยยยยยยยยยยยย อย่าให้เซดดดดดดด 555555

           เห็นมั้ยครับ ไม่ยากเย็นอะไรเลย สำหรับการทำไวน์ ไว้ดื่มเอง ชิลเอง ทีนี้เมื่อเราทำเป็นแล้ว เราสามารถประยุกต์เพื่อให้ได้รสชาติ สี กลิ่น ของไวน์ที่แตกต่างกันออกไป โดยเลือกวัตถุดิบที่จะนำมาหมักแตกต่างกัน หรือเติมส่วนผสมอื่นเพิ่มเติมเช่นสมุนไพร หรือเครื่องเทศ ( ไวน์ตระกูลชีราส จะเน้นกลิ่นเครื่องเทศ คือเค้าจะเติมเครื่องเทศตามสูตรเค้า ในขั้นตอนการบ่มครับ ) ส่วน คาบิเนต เชอวิยอง ก็จะเป็นไวน์เบา  ๆ คือแอลกอฮอล์ไม่สูงเกิน 13% มักใช้องุ่นแดงหมักผสมกับองุ่นขาว โดยเลือกพันธุ์องุ่นที่คัดสรรแล้วว่ารสขาติดีมาทำไวน์ครับ  ส่วนบ้านเราผลไม้ทีมีรสเปรี้ยวอมหวาน มีอยู่มากมาย ล้วนแล้วแต่นำมาทำไวน์ได้ทั้งนั้นครับ เช่น สัปปะรด มะเกี๋ยง มะเฟือง มังคุด ทำไวน์ได้หมดครับ ใช้สัดส่วนที่บอกไป รับรอง ออกมาเป็นไวน์แน่ ๆ (ไม่กลายสภาพเป็นน้ำส้มสายชู ) อิอิอิ

          ใครที่ลองทำแล้ว ได้ผลเป็นยังไง เล่าสู่กันฟังได้นะครับ .... ส่วนตัวผม ...ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ผมมีเครื่องดื่มไว้ฉลองเรียบร้อยแล้วล่ะครับ :)


มาทำแชมพูมะกรูดใช้เองกันเถอะ

          วันนี้ตื่นเช้าก่อนไก่โห่อีกเช่นเคย (พักนี้ตื่นเช้าตลอด สงสัยเริ่มแก่) ตื่นมาก็จะอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน สระผม เหมือนเช่นทุกวัน แต่ระยะนี้สระผมทีไรเห็นผมตัวเองร่วงตลอด อีกไม่นานคงล้านแน่ ๆ ไม่อยากจินตนาการภาพตัวเองหัวล้านเล้ยยยย พับผ่าสิ  ...พลันนึกขึ้นได้ว่า มีมะกรูดอยู่ตู้เย็น เอามาทำแชมพูใช้เองดีกว่า โบราณว่าช่วยลดผมร่วง ให้ผมดกดำเงางาม
          วิธีทำแชมพูมะกรูดสำหรับเก็บไว้ใช้เอง (สูตรผีบอก เอ้ยยย สูตรโบร่ำโบราณ ) ก็ง่าย ๆ ครับ ไม่มีอะไรยากเย็นเลย สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ มะกรูด น้ำเปล่า แชมพูปกตินิดหน่อย เครื่องปรุง เอ้ยยยยย ส่วนผสมก็มีเท่านี้เองครับ ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า

          นำมะกรูด (ปริมาณขึ้นกับความต้องการครับ) วันนี้ผมใช้มะกรูด 1 กิโลกรัม ( ถูกมากในช่วงนี้ ผมซื้อจากตลาดนัดใกล้บ้าน กิโลกรัมละ 10 บาทเอง ) นำมาล้างให้สะอาดแล้วหันเป็นแว่น ๆ ใส่ในหม้อ เติมน้ำเปล่า 1 กิโลกรัม ( สูตรง่าย ๆ ก็คือ 1:1 ) แล้วนำไปตั้งไฟให้เดือด ... พูดง่าย ๆ คือต้มมะกรูดนั่นแหล่ะครับ พอน้ำเดือด ก็หรี่ไฟ ต้มต่อไปสัก 10 นาที โดยเผยอฝาหม้อให้ไอน้ำได้ออกง่าย ๆ 

         
           เมื่อต้มเสร็จแล้วก็ปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็นครับ ช่วงรอให้เย็น เราก็ไปเตรียมหาเครื่องปั่น ( เครื่องปั้นน้ำผลไม้นี่แหล่ะครับ ) พอมะกรูดที่ต้มไว้เย็นได้ที่ดีแล้ว ก็แค่นำมาปั่นในเครื่องปั่นโดยใส่ทั้งมะกรูดและน้ำที่ต้มมะกรูดนั่นแหล่ะครับ

          ถึงตอนนี้จะนำไปใช้ได้เลยนะครับ เพียงแต่มันจะไม่มีฟอง เวลาสระผมอาจรู้สึกหนืด ๆ แต่สระแล้วผมสะอาด นุ่มลื่น แน่นอนครับ ไม่ต้องกังวล .... ส่วนใครที่ชอบสระผมแล้วต้องมีฟอง ก็ไม่ยากครับเพียงเติมแชมพูปกติที่ใช้อยู่ลงไปในช่วงที่ปั่นมะกรูด อัตราง่าย ๆ คือ น้ำปั่นมะกรูด 1 กิโลกรัม ต่อแชมพู 100-200 มิลลิลิตร แล้วแต่ความชอบครับ (จริง ๆ มันไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ เอาเป็นว่า ใส่ตามใจชอบได้ ชอบฟองมากใส่มาก ชอบฟองน้อยใส่น้อย ) 


          
ทีนี้เราก็นำมาบรรจุขวดเก็บไว้ใช้ได้เลยครับ แนะนำให้แบ่งใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ในห้องน้ำ ส่วนที่เหลือก็หาขวดหรือโถมีฝาปิดมิดชิดมาเป็นภาชนะใส่ไว้ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นจะเก็บได้นานขึ้นครับ 

          ง่าย ๆ เพียงเท่านี้ เราก็มีแชมพูมะกรูดใช้เองแล้ว จะใช้สระตามปกติ หรือใช้หมักผม ก็ได้ไม่ว่ากันครับ ช่วยให้หนังศีรษะสะอาด น้ำมันมะกรูดมีส่วนช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง และให้ผมนุ่มลื่นเงางามดีครับ ใช้ช่วงแรก ๆ อาจไม่ชิน เพราะตอนสระจะรู้สึกหนืด ๆ แต่รับรองครับว่าล้างออกแล้ว ผมจะนุ่มลื่นเลยล่ะครับ

อ้อ..... เกือบลืมไป อย่าลืมเขย่าขวดก่อนใช้ทุกครั้งนะครับ  :) 

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อากาศเย็น ณ ม่อนแจ่มในฤดูฝน

          ตื่นเช้ามาในวันอาทิตย์ที่อากาศแสนสบาย ถึงแม้งานจะมีกองอยู่ตรงหน้ามากมาย แต่ด้วยสภาพอากาศที่ชวนให้ฝันเคลิ้ม ฟ้าครึ้มด้วยเมฆฝนสีเทาอ่อน ๆ ลมเย็นสบายอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ลืมเรื่องงาน และไม่ต้องการจับต้องงานชิ้นได นอกจากฝันไปไกลว่า "แหม วันที่อากาศดี ๆ แบบนี้ น่าไปนั่งชมธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้าเขียวขจีสมเป็นฤดูฝน พร้อมกับจิบกาแฟอุ่น ๆ คงช่วยให้จิตใจแช่มชื่นไม่น้อย ...คิดพลางหยิบโทรศัพท์ (ตัวใหม่ที่เพิ่งถอยมาด้วยความประทับใจในราคาและความสามารถ) กดเบอร์โทรออกหาเจ้าหมู่รุ่นน้องที่คาดว่า วันนี้ต้องว่างแน่ ๆ เพื่อเป็นแนวร่วมไปหาร้านกาแฟแถว อ.แม่ริม ( คงเดากันออกนะครับ ว่าเป็นร้านอะไร ) ... เสียงเจื้อยแจ้วในสายตอบโอเคเร็วพลัน ... ไม่นานก็มารับถึงบ้านและพร้อมออกเดินทาง

          จากบ้านที่แม่โจ้ ไป ร้านศาลากาแฟ ที่แม่ริม ไม่ไกลนัก ขับรถสิบกว่านาทีก็ถึง ..... แต่พอไปถึง โอ้โหหหหหหห คนล้นหลาม เหมือนมีเทศกาลเทกระจาด มองหาโต๊ะนั่งยังไม่มีว่างเลยทีเดียว ทั้งสามคนจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ด้วยเวลา 0.21 วินาที ว่า "ไปร้านอื่นกันเถอะ!!!"

          ระหว่างทางออกจากร้านยอดฮิต สมองพร้อมซีพียู คอไอ 5 และแรม 2 จิ๊ก ก็ประมวลผลเร็วปรื๋อว่าไปร้านไหนดี เหลือบมองนาฬิกาก็เกือบบ่ายสามโมงแล้ว ..... ใกล้ ๆ กันนี้ก็มีร้านกาแฟวาวี... แต่คนคงเยอะเช่นกัน .... พลันสมองก็สั่งการให้ริมฝีปากเอ่ยออกมาว่า " ขึ้นดอยกันมั้ย  ไปหาร้านกาแฟเส้นแม่ริม สะเมิง กินกัน " พลขับรีบตอบ " ก็ว่าจะบอกอยู่พอดี " แฟนพลขับรีบเอ่ยต่อ " ไป ไป ไป " .... สรุปว่าเป็นเอกฉันท์อีกแล้ว  พลขับเลยเบี่ยงหัวรถมุ่งขึ้นดอยทันที

          สองข้างทางถนนเส้นนี้คลาคล่ำไปด้วยร้านค้า ที่พัก โรงแรมตั้งแต่ไม่มีดาวจนไปถึงมากดาว สถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ปางช้าง ฟาร์มงู ฟาร์มลิง ผจญภัย ฯลฯ แต่ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมากที่สุดกลับเป็นความเขียวขจีชุ่มฉ่ำของต้นไม้และป่าไม้สองข้างทาง ที่คุณไม่สามารถสัมผัสแบบนี้ได้หากมาในฤดูหนาว  ...

          เราเพลินกับการชมธรรมชาติสองข้างทาง ( ไม่บ่อยนักที่จะมีพลขับ และให้เรานั่งชม เพราะปกติเราเป็นคนขับตลอด ) เพลินได้สักพักขณะขับผ่านปางช้างแม่สา กระเพาะอาหารก็สั่งการให้สมอง คอไอ 5 สั่งงานให้ปากเอ่ย " เราเปลี่ยนจากการหาร้านกาแฟเป็นร้านกินข้าวกันดีมั้ย " สมาชิกร่วมทริปรีบตอบ "ไอ ดู" กันทันที  ..... สรุปคือเริ่มหิวกันแล้ว

          เป้าหมายในสมองมีให้เลือกสองร้าน คือ โป่งแยงแอ่งดอย กับ พราวภูฟ้า ... สุดท้ายก็ตัดสินใจไปโป่งแยง แอ่งดอยกัน ด้วยที่ผู้ร่วมทริปอีกสองคนยังไม่เคยมาร้านนี้ เลยค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ ( สังเกตได้จากความร่าเริงเทิดเทิง และสายตาประกายแวววาวเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ) พอถึงร้าน จอดรถเรียบร้อย ( ถ้าใครเคยไปร้านอาหารนี้คงจะจำกันได้ว่า จะต้องเดินตามทางที่มีต้นไม้น่ารัก ๆ สองข้างทาง ไปจนถึงห้องอาหาร ) ผู้ร่วมทริปทั้งสองคน ดี้ด๊า กันใหญ่ บ่นอุบอิบว่า เสียดายไม่ได้เอากล้องมาด้วย เพราะอย่างที่บอก วันนี้อากาศดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีแดด เย็นสบาย ทำให้ธรรมชาติดูสวยงามและน่าประทับใจมากขึ้นไปอีก เหมาะแก่การถ่ายรูปเป็นอย่างมาก ... พอถึงตัวห้องอาหาร เราเลือกที่นั้งริมระเบียง มองเห็นหุบแอ่ง ที่มีน้ำตกฟองขาวตกกระทบหิน เสียงดังอยู่ไม่ไกล ตัดด้วยสีเขียวของเหล่าไพรพฤกษ์ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ล้างปอด ล้างจิตใจ และผ่อนคลายได้เป็นอย่างมาก ..ก่อนที่จะสั่งอาหารและเครื่องดื่ม มาสุนทรีย์กับธรรมชาติกัน

          ธรรมชาติของป่าเขายามหน้าฝน ช่างสวยงามเสียนี่กระไร ใครที่คิดว่าจะมาเที่ยวป่าเขาในหน้าหนาว ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาในหน้าฝนดูบ้างก็ได้นะครับ จะได้บรรยากาศที่ชวนให้เคลิ้มเพลินไปอีกแบบ เพียงแต่ต้องเช็คสภาพฟ้าฝนสักหน่อยก่อนมา เพราะถ้าฝนตกตลอดเวลาก็คงจะหมดสนุก เหมือนที่ตัวเองคิดว่า ไปปายหน้าฝน สนุกกว่าไปหน้าหนาว เพราะสายตาจะไม่ขาดสีเขียวของธรรมชาติเลย นั่งมองฝนพรำอยู่ในร้านอาหาร ก็ทำให้ใจสงบได้

          ทานอาหารจนหมด เหลือบมองดูนาฬิกา โอ้วววววว จะห้าโมงเย็นแล้ว พลขับเอ่ยชวน "เราไปกินกาแฟบ้านคุณยายกันมั้ย ที่ณเดชน์มาถ่ายละครน่ะ " แฟนพลขับรีบเอ่ย "ไป ไป ไป "  ส่วนเราไปอยู่แล้ว คิดได้แบบนี้ ก็เรียกเช็คบิลและจรรีออกจากร้าน และมุ่งหน้าสู่ม่อนแจ่มทันที

          ไม่อยากบอกเลยว่า ตัวเราเองไม่เคยไปม่อนแจ่มเลย ขนาดเป็นคนเชียงใหม่แท้  ๆ ทั้ง ๆ ที่คนจากที่ไกลเค้าไปกันโครม ๆ เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าไม่อยากไปเบียดเสียดเที่ยวในช่วงที่คนเค้ามากันเยอะ ๆ อย่างช่วงหน้าหนาว ... เย็นนี้เลยมีโอกาสอันดีที่จะได้ไป (แถมไม่ต้องขับรถเองอีกต่างหาก ชอบตรงเนี้ยยย ) พลขับพาขึ้นไปทางม่อนแจ่ม เราก็ตื่นตาไปกับสภาพธรรมชาติสองข้างทางและหมู่บ้านชาวเขา ( ใครที่ไม่เคยไปช่วงเย็น ๆ แบบนี้ หากมีโอกาส ลองไปดูสักครั้งนะครับ แปลกตาไปอีกแบบ ) จนไปถึงม่อนแจ่ม ทีแรกก็คิดว่าคงไม่มีคน แต่ที่ไหนได้ รถจอดพอสมควร คนมาเที่ยวกันพอสมควร (ไม่มากนะครับ แต่ก็ไม่เหงา ) คงเพราะบรรยากาศอากาศเป็นใจ ประกอบกับเป็นวันอาทิตย์ คนเลยขึ้นมาพักผ่อนชมวิวกัน .....เปิดประตูเพื่อลงรถ อากาศเย็นก้อพัดมาประทะใบหน้าทันที  วู้ววววว เย็นเหมือนหน้าหนาวเลย ชอบจริง ๆ ผู้ร่วมทริปทั้งสามต่างดี๊ด๊าเถิดเทิงกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึงม่อนแจ่มได้ เพราะไม่ได้เตรียมการอะไรเลย ( หลาย ๆ ครั้งที่การวางแผนจะไปเที่ยวไหนล่ม  แต่ตรงกันข้าม การไปไหนโดยไม่ได้วางแผนหรือเตรียมการ เป็นอะไรที่สนุกจริง ๆ )






       



สองสามีภรรยา (พลขับและแฟน) ต่างพากันถ่ายรูปกันใหญ่ด้วยกล้องจากมือถือ ส่วนเราชมธรรมชาติและสูดโอโซนเพื่อฟอกปอดอย่างเต็มที่ หายใจสะดวก อากาศเย็นมาก มองลงไปเห็นขุนเขาที่มีเมฆลอยละเลียดยอดเขา สวยงามเกินคำบรรยาย บางแห่งสายฝนโปรยปรายลงสู่พื้นจากก้อนเมฆสีเทาเล็ก ๆ  ช่างเป็นการรังสรรค์ที่งดงามและชุ่มฉ่ำสายตาทีเดียว




ยามเย็นของที่นี่ ให้ความรู้สึกมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก ทุกอย่างดูลงตัว ทุกอย่างดูมีชีวิต ไม่เว้นแม้แต่เสาป้ายบอกทาง หรือก้อนหินที่มีดอกไม้รายรอบ ในกระต๊อบมีผู้คนกำลังนั่งเฮฮาทานข้าวด้วยแสงตะวันที่อ่อนล้าเตรียมลาลับขอบเขา ในกระท่อมไม้ไผ่ ผู้คนจิบเครื่องดื่มที่ตัวเองชื่นชอบด้วยสายตาเดียวกันคือมองออกสู่ธรรมชาติและใบหน้าที่อิ่มสุข ต่างกำซาบความงามของสรรพสิ่งที่ธรรมชาติบรรจงสร้าง ...... เราคิดว่า ช่างโชคดี ที่มาเที่ยวที่นี่ในวันที่บรรยากาศดี ๆ และหายากเช่นนี้ได้






          ไม่ไกลและไม่ยากเลย ที่ทุกท่านจะได้สัมผัส ความสุนทรีย์ของธรรมชาติในช่วงหน้าฝนแบบนี้ .. คนไม่เยอะ ไม่ต้องเบียดเสียดเที่ยว ไม่ต้องกังวลเรื่องรถติดบนดอย ... ช่วงของหน้าฝนของปีนี้ยังคงอยู่ไปอีกหลายวัน ...
ว่างจากสิ่งที่ทำ อยากให้ลองมาสัมผัสกันครับ แล้วคุณจะรักหน้าฝนมากขึ้น เหมือนที่ผมรัก :)

บันทึกความทรงจำของความคิดเลื่อนลอย

สิงหาคม 7,13 ไม่ทันได้ตั้งตัวเท่าไหร่ สำหรับการมาเมืองหลวงครั้งนี้ มาแบบกระทันหันจริง ๆ ตัดสินใจมาและใช้เวลาเก็บเสื้อผ้าแค่ครึ่งชั่วโมงก่อนกระโจนติดรถน้องที่เพิ่งบอกว่า จะไปกรุงเทพฯตอนสามทุ่มนะ!!!

โดยส่วนตัวเริ่มแรกก็คิดอยู่ว่าคงต้องมาทำธุระเกี่ยวกับการขอรหัสบาร์โค้ดที่กรุงเทพ เพราะกลัวว่า ถ้าขอผ่านทางระบบไปรษณีย์ จะมีปัญหามาก ( อันที่จริงคือ เอกสารที่ใช้ประกอบการขอยื่นไม่ครบ คือขาด สำเนา ภงด.91) อย่ากระนั้นเลย บุกไปถึงที่แล้วชี้แจงด้วยตัวเอง ดูจะเป็นวิธีที่เข้าท่า และสะดวกสุด ผ่านไม่ผ่าน รู้ผลทันที ไม่ต้องรอสองสัปดาห์ให้วุ่นวายใจ

แต่คิดไปคิดมา ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการทำธุระที่เมืองหลวงครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าสามหมื่นบาท โฮ้ววววว จะเอาเงินที่ไหนละเนี่ย เงินเก็บที่มีก็ไม่น่าจะพอ … คือถ้าไป ไปได้ แต่กลับมาจะไม่เหลือเงินไว้ใช้จ่ายเลย … ฉับพลันเหมือนสวรรค์เป็นใจ ให้ได้(ยืม)เงินจากคลังหลวง ! ฮู้ววววววว ยืมก็ยืม … เพราะติดรถน้องไป จะได้ประหยัดค่าเดินทางขาลง …. เมื่อการเงินลงตัว พาหนะลงตัว ก็โกอะเฮด มุ่งหน้าสู่เมืองหลวง ณ เวลา สี่ทุ่ม โดยมีสารถีคือน้องชายตัวเอง … ส่วนเรารึ … นั่งและหลับ นั่งและหลับ จนถึงกรุงเทพเลย

หลับ ๆ ตื่น ๆ คุย ๆ จนฟ้าสว่าง เหลียวมองข้างทางก็เข้าเขตจังหวัดอยุธยาแล้ว มองไปทางไหนก้อเห็นแต่ป้าย ๆ ๆ ๆ โฆษณา ร้านนู้น นี่ นั่น วัด นู้น นี่ นั่น กันเต็มสองข้างทาง พลันก็คิดว่า แถบภาคกลางนี่ นิยมทำป้ายใหญ่ ๆ โต ๆ กันจริง ๆ คงเพราะเพื่อความสะดุดตาละมั้ง ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่ที่แน่ใจคือ รถบัสที่วิ่งแถบนี้แทบทุกคัน จะเพ้นท์ตัวรถเป็นลวดลายการ์ตูนญี่ปุ่นกันทุกคัน ดูแล้วลายหูลายตา ระคนความประหลาดใจว่าเพราะอะไร บางคันมีลวดลายการ์ตูนผู้หญิงนมโตด้วยล่ะ !!!!

เอ้า ….. คงเป็นความนิยมทางจังหวัดแถบนี้... คิด ๆ ได้ทันไร ก็เริ่มเข้าเขตดอนเมือง โดยน้องขับขึ้นทางด่วน .. ขึ้นปุ๊บ รถติดปั๊บ …. ด่วนตรงไหนเนี่ย .. คงเพราะมาถึงช่วงแปดโมงเช้า ที่จำนวนรถคึกคักเพื่อไปโรงเรียน ไปทำงาน รถมหาศาลจึงไปติดกันอยู่บนทางด่วน … กว่าจะถึงคอนโด ที่วงเวียนใหญ่ ก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมงเช้า เรียกได้ว่า ระโหยกันทั้งพี่ทั้งน้อง

ดีหน่อยที่มากรุงเทพฯคราวนี้ ไม่ต้องพะวงเรื่องโรงแรมที่พัก ( ประหยัดเงินไปได้อีกหลายพันเลยทีเดียว) เพราะน้องชายได้ซื้อคอนโดไว้อีกที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ซะด้วย …. (เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก) เราเลยได้อานิสงฆ์พักที่นี่แหล่ะ ส่วนน้องชาย ไปพักที่ตอนโดลุมพินี... ถึงคอนโด(เป็นคอนโดสร้างใหม่) ทุกอย่างเลยดูใหม่ และยังมีส่วนที่ก่อสร้างอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ปัญหา สบายกว่าไปพักโรงแรมเป็นไหน ๆ มีครัว เตาไฟฟ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ ทีวี ดรีมบ๊อกซ์ ที่นอนนุ่ม ๆ เครื่องปรับอากาศเสียงหึ่ง ๅ สองตัว ฝักบัวแบบน้ำตกใหญ่สะใจ โซฟายาว รวมไปถึงเครื่องซักผ้า ….. สบายละ.... เข้าห้องได้ก็นอนพักหลังจากปวดเมื่อยกับการนั่งรถมาทั้งคืน ( ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นคนขับ แต่ไหงรู้สึกปวดระบมไปทั้งตัวแบบนี้นะ ) ส่วนน้องก็ไปหลับที่ตอนโดลุมพินี ไอ้เรารึ.. ก่อนเข้าห้องก็ว่าจะขอหลับให้สบายสักวัน พรุ่งนี้ค่อยไปทำธุระ... แต่พอเข้าห้องแล้ว ดันตาสว่าง ไม่ง่วง ไม่เพลีย แต่ปวดทั้งตัวเลยทีเดียว อย่ากระนั้นเลย ไหน ๆ ก็ไม่ง่วงละ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปทำธุระเลยดีกว่า เผื่อมีปัญหาอะไรจะได้มีเวลาเตรียมตัวพอ.....
คิดได้แบบนี้แล้ว ก้อพาสังขารา ตัวเองเข้าห้องน้ำ แก้ผ้า ทำธุระยามเช้า อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว แล้ว ออกตะลุย เมืองหลวง ( ที่ไม่ได้มาเยือนหลายเพลาแล้ว ) ก้าวแรกที่ออกคอนโด ความร้อนอบอ้าว เข้าประทะใบหน้าและลำตัว แทบเซ พยายามหายใจเฮือกใหญ่ เพื่อพยายามกรองออกซิเจนในอากาศเข้าปอด ซึ่งรู้สึกทำได้ยากมาก หายใจลำบากเหมือนอยู่บนยอดดอยอินทนนท์ ( สงสัยปริมาณออกซิเจนในอากาศมีน้อย หรือไม่ก็ ไม่ชินกับสภาพอากาศแบบนี้ ) เพราะอยู่เชียงใหม่ สูดอากาศได้เต็มปอด หายใจสะดวกโล่งสบายกว่านี้มากนัก …. หายใจเฮือกใหญ่ อยู่สามสี่เฮีอก ก็ก้าวเท้าออกสู่ถนนใหญ่ … เอาล่ะ จะไปศูนย์ประชุมสิริกิติ์ จะไปไงดีหวา รถไฟฟ้า หรือ แท๊กซี่ดี คิดไปคิดมาอยู่สองสามตลบ ก็สรุปว่า วันนี้วันแรกยอมไปแท๊กซี่ก่อนดีกว่า จะได้ศึกษาเส้นทางไว้บ้าง คิดไม่ทันจบ แท๊กซี่ก็มาจอดตรงหน้า อะฮ้า ป้ายว่างแดงโร่ เลย … เปิดประตูถาม “ พี ๆ ไปศูนย์สิริกิติ์มั้ยคับ “ คนขับแท๊กซี่รีบบอกว่า “เวลาไม่พอ” อ๊ะ ! ไม่เป็นไร ไปคันอื่นก็ได้ … ปิดประตูคันแรก แท๊กซี่อีกคันก็ขับมาจอดต่อพอดี เลยเดินไปเปิดประตูถามเหมือนเดิม คราวนี้ พี่คนขับบอกว่า “ไป” .” แต่ขอไปทางพระรามสามนะ เพราะทางสาธรติดม๊อบ “ “โอเคพี่ ทางไหนก้อได้คับ” พูดตอบไปพลางเปิดประตูรถด้านหลังเข้าไปนั่งจุมปุ๊กทันที … แท๊กซี่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกสู่ถนน จนถึงศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ด้วยมิเตอร์ 185 บาท .. แอบแพงอยู่นะเนี่ย (คิดในใจพลาง เฮ้ออ ช่างเถอะ ถือว่าได้ชมเมือง ) เลยควักแบงค์ร้อยให้ไปสองใบ พร้อมบอก “ไม่ต้องทอนคับพี่”

ลงจากแท๊กซี่ได้ก็รีบสาวเท้าเข้าศูนย์ประชุมทันทีเพราะแดดเปรี้ยงมาก แสบแขนแล้ว … แต่มองซ้ายมองขวา จะไปทางไหนดีเนี่ย ไม่เคยมาซะด้วย พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นพี่ยามชุดสีฟ้าสดใสหน้าตาเอาเรื่อง... เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถาม “ พี่คับ อาคารซี ไปหนใดคับพี่” “ตึกสุดท้ายขวามือเลยน้อง นู้น ๆ น่ะ “ พี่แกพูดด้วยใบหน้าเอาเรื่อง พลางชี้มือบอกทาง ก่อนรีบวิ่งไปเปิดรั้วกั้นประตูรถให้เมอร์ซิเดสเบนซ์สีบรอนซ์สะท้อนแสงจนแสบตา ก่อนตะเป๊ะให้รถ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.... ไหงคนละหน้ากะเวลาพูดกับช้านนนละเนี่ยยยย !!! แต่ก็เถอะนะ ช่างเค้าเถอะ เค้าบอกทางเราก็ดีแล้ว … รีบโกยอ้าวเข้าอาคารก่อนแขนจะไหม้เป็นปีกไก่ปิ้งจะดีกว่า

เข้าสู่ตัวอาคาร ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นจากเครื่องทำความเย็น ทำให้ค่อยรู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย … แต่เอ....แล้วสำนักงาน GS1 Thailand ไปทางไหนเนี่ย … หลังจากมองหา ไดเรคทอรี่บอร์ด ไม่เจอ .. วิธีเดิมเลย “พี่คับ สำนักงาน GS1 Thailand ไปหนใดคับ “ คราวนี้พี่ยามคอยตรวจค้นเวลาเข้าอาคาร ชุดสีฟ้าสดใสแต่หน้าตาใจดี “ น้องเดินทะลุศูนย์อาหารนี้ไปเลยนะ จะเจอทางออกด้านหลัง แล้วเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป อยู่ชั้นสองนะ “ พูดจบพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ …” ขอบคุณมาก ๆคับพี่” …. เอ้อออนะ คนเรามีหลายประเภทแบบนี้แหล่ะ ถึงเรียกว่าโลกมนุษย์ ….

คิดพลางสาวเท้าก้าวสู่สำนักงาน ขึ้นบรรไดเลื่อนยังไม่ทันสุด พี่ยามรีบกุลีกุจอเชื้อเชิญ “มาติดต่อขอบาร์โค้ดใช่มั้ยครับ ทางนี้เลยครับ ๆ” พี่ยามบริการดีสุด ๆ ( แหมถ้าหน้าตาดีกว่านี้อีกสักนิดจะพามาเป็นยามหน้าประตูวิศวะ มอชอ ) …. เปิดประตูสำนักงานเข้าไป จ๊ะเอ๋ กับพนักงาน หญิง หนึ่ง ชายหนึ่ง นั่งหน้าแป้นแล้น คอยรอรับลูกค้ามาติดต่องาน พลันสายตาเหลือบไปมองพนักงานชาย ที่กำลังพูดโทรศัพท์ ด้วยเสียงแข็งกระด้าง พร้อมใบหน้าระอา ..ไอ้เราเห็นแล้ว เสียความรู้สึกจริง ๆ … พนักงานหญิงรีบถามเราว่าติดต่อขอบาร์โค้ดใช่มั้ยคะ นู้น นี่ นั่น บลา ๆ ๆ ๆ พร้อมแจงรายละเอียดอันดับแรกเลยคือ “ คุณต้องเสียเงินจำนวน.... นะคะ “ (แหมมมม เดี๋ยวนี้ประเด็นหลักไม่ว่าทำอะไร คือเงินเหรอเนี่ย ) “ได้ครับ เตรียมมาพร้อมแล้ว “ เราตอบไป ..
เอาล่ะคะ ดิฉันจะอธิบายบาร์โค้ดคร่าว ๆ ให้ฟังนะคะ ว่าตั้งอย่างไร “ แล้วคุณเธอก็อธิบายพร;ดเดียวจบ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนนั่งดู แฮร์รี่พอร์ตเตอร์ เจ็ดภาครวด โดยไม่พักทานข้าวดื่มน้ำ ! เราได้แต่เออออ ห่อหมก ตาม ด้วยความคิดว่า เอาน่ะ ไม่เข้าใจอะไรตรงไหนค่อยมาอบรมอีกที … แต่สุดท้ายก็เข้าใจแจ่มแจ้ง “ แต่เอกสารที่ต้องให้คุณไป ทางสำนักงานเราหมดนะคะ ไว้จะส่งให้ทางไปรษณีย์นะคะ วันนี้คุณจะได้แต่ใบเสร็จในการชำระเงินไปก่อนค่ะ “ อุ้ยยยยยย แหมมม สำนักงานระดับสากล ไหงปล่อยให้เอกสารคู่มือที่ต้องให้ลูกค้า หมดง่าย ๆ แบบนี้ละคร้าบบบ

ชำระเงิน ได้ใบเสร็จ คุณเธอก็กล่าวขอบคุณ พร้อมบอกว่า จะแจ้งผลให้ทราบทางอีเมล ไม่เกินเจ็ดวัน... กลับห้องนอนพักดีกว่าเรา เสร็จงานแล้วนี่นา ไม่ถึงชั่วโมงดีเลย ยังไม่เที่ยงด้วยซ้ำ … แต่ เอ๊ะ ยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันนี่นา ไปหาไรทานดีกว่า … ตะกี้ตอนเดินมาสำนักงาน เห็นมีฟู๊ดเซ็นเตอร์ ..ไปทานที่นั่นดีกว่าเรา … คิดพลางเดินลงบันไดเลื่อนลงไปฟู๊ดเซ็นเตอร์ชั้นล่างของศูนย์ประชุมสิริกิติ์ ..เปิดประตูเข้าไป โอ๊ววววว วแม่เจ้า คนหรือมดเนี่ย ไหงพลุกพล่านแบบนี้ อุดมด้วยพนักงานใส่สูทผูกไทด์ กันเต็มไปหมด ต่อคิวกันยาวเหยียด โต๊ะนั่งถูกจองเต็ม .. โอ้ยยยย แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ทานละเนี่ย อย่าดีกว่า ไปทานที่อื่นก็ได้ … คิดแล้วพลางวิ่งออกจากฟู๊ดเซนเตอร์ ออกไปหน้าศูนย์ประชุม เพื่อลงรู ไปยังรถไฟใต้ดิน ก่อนขึ้นรถไปลง เทอร์มินอล 21 แล้ววิ่งพรวด ๆ ๆ ขึ้นไปชั้นฟู๊ดเซนเตอร์ โอ๊วววววววว ภาพที่เห็นคือ ไม่ต่างจากที่ศูนย์ประชุมฯเลย คนเหมือนมดอีกแล้ว แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว หิวก็หิว เอาวะ …. แลกบัตร เดินไปหาร้านที่คนน้อยสุด “ข้าวหมกไก่” …. ได้แล้ว เกือบได้กินแล้วววว แต่เจ้าประคุณเอ๋ย ต้องไปหาโต๊ะนั่ง ซึ่งไม่มีเลย คนนั่งเต็มหมด บางโต๊ะว่าง แต่ก็มีของวางไว้ เพื่อจอง เดินหาโต๊ะนั่ง เหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี ทั้งคนไทย ต่างชาติ ต่างเล่นเกมนี้ด้วยกัน … อย่ากระนั้นเลย สายตาพลันมองไปเห็นลุงฝรั่งคนหนึ่งนั่งโต๊ะคนเดียว แต่มีเก้าอี้ว่างสองตัว เลยเดินไปถามขอนั่งด้วย ลุงฝรั่งใจดี บอกนั่งได้เล้ย … โอ้วว เหมือนสวรรค์มาโปรด ได้ทานข้าวสักที ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าแล้ว …...

พออิ่ม ก็ขอบคุณลุงฝรั่ง (ซึ่งยังทานไม่เสร็จ) พร้อมลุกออกไปเดินย่อยอาหาร ชมห้าง เดินขึ้น ๆ ลง ๆ มองหาอะไรที่จะทำให้ความสนใจสะดุดได้ ...แต่ก็หาไม่เจอ ทุกอย่างของห้าง คล้าย ๆ กันกับทุก ๆ ห้าง เดินอยู่นานเลยตัดสินใจไปห้างอื่นดีกว่า พารากอน เข้าท่าดี ไม่ได้ไปนานมากแล้ว อยากไปดู สยามโอเชียนเวิร์ด

มาถึงพารากอนก็เกือบเย็นย่ำ … ( การเดินทางไปไหนมาไหนในเมืองกรุงนี่ เสียเวลาเยอะจริง ๆ เลยนะ) หรืออาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยรู้เส้นทาง เลยใช้บริการแต่รถไฟฟ้า … ลงสถานีสยามก็เดินพรวด ๆ รีบเข้าพารากอน เพราะอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ … คิดไปเองหรือเปล่าไม่แน่ใจว่า อยู่เมืองหลวง หายใจไม่ค่อยออก แค่เดินขึ้นสถานีรถไฟฟ้า เล่นเอาหอบ..... เข้าถึงในห้างพารากอน ค่อยรู้สึกสบายตัวหน่อย พลางสาวเท้าลงไปชั้นล่างสุดเพื่อจะไปดูสยามโอเชียนเวิร์ล แต่คิดไปคิดมา นี่ก็เย็นแล้ว สักพักจะเริ่มหิว คงไม่เป็นการสมควรแน่ถ้าไปหิวข้างในโอเชียลเวิร์ล ก่อนที่จะชมอะไรครบ อย่ากระนั้นเลย หาไรทานดีกว่า 55 …. คิดแล้วก็เดินต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ไปหาไรทาน... มองไปทางไหนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน แน่นกันทุกร้าน เลยตัดสินใจเข้าไปเดินเล่นในซุปเปอร์มาเก็ตก่อนดีกว่า จะได้ซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหลายไปทำความสะอาดห้องด้วย …

หลังจับจ่ายซื้อนู้น นี่ นั่น เล็กน้อย ก็เดินออกมาจะชำระเงิน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร้านอาหารที่เปิดภายในซุปเปอร์มาเก็ต เป็นร้านอาหารสเปน ขายทาปาส และอาหารแนวสเปนประยุกต์ … แหม ๆ ไม่เคยทานอาหารสเปนซะด้วยเรา ว่าแล้วขอลองหน่อยดีกว่า … เดินไปนั่งบาร์ พร้อมขอดูเมนู พนักงานและกุ๊กมีสองคน รีบต้อนรับด้วยไมตรีดีสุด ๆ แนะนำเมนูอาหารขมักเขม้น น่าประทับใจจริง ๆ ...สุดท้ายแล้วก็เลยสั่งทาปาสหน้าหมูรมควันแบบพิเศษมาชิมหนึ่งชิ้นเป็นการเรียกน้ำย่อย และสปาเก็ตตี้ซีฟู๊ด เป็นเมนคอร์ส เชฟ เสริฟพั้นซ์ผลไม้ให้ฟรีแก้วนึง ( จากราคาแก้วละ 180 บาท ) แหม ๆ ๆ ๆ น่ารักซะจริง ๆ ..ด้วยความเกรงใจเราเลยสั่งไวน์สเปนหนึ่งแก้วมาแกล้มอาหาร ….. เป็นมื้ออาหารที่พิเศษอีกมื้อนึงเลยทีเดียว เพราะเป็นครั้งแรกที่ทานอาหารสเปน พร้อมเหมือนมีบริกรประจำตัว 555555 ดูแลเราดีสุด ๆ ก่อนอิ่มท้องและจ่ายเงินสำหรับมื้อนี้ไป หกร้อยกว่าบาท … เอาน่า ซื้อความรู้และประสบการณ์ คิดมากปวดหัว …. 5555

ละเลียดนั่งทานอาหารค่ำ มองดูวิถีชีวิตผู้คนเมืองกรุงที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง ตามสไตล์เมืองใหญ่ทุกเมือง ๆ พลันคิดว่า ไม่อยากให้เชียงใหม่เป็นแบบนี้เลย กลิ่นอายความเป็นเมืองเหนือคงหายไปสิ้น ทั้งวิถีชีวิตผู้คนที่คงต้องเปลี่ยนไป ….. แต่โลกย่อมเปลี่ยนแปลง และย่อมหมุนไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรอยู่ยืนยงไปได้ตลอด คงขึ้นอยู่กับตัวเราเองนี่แหล่ะ ว่าพร้อมที่จะอยู่กับมันได้ดีมากน้อยแค่ไหน หรือจะต่อต้านการเปลี่ยนแปลงมันอย่างหัวชนฝา เราคงเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้ แต่เราสามารถปรับประยุกต์ความคิดเราเองได้


กลับถึงห้องพักหลังจากมื้ออาหารค่ำ ก็เกือบสามทุ่มแล้ว เดินเซ ๆ ไขกุญแจเข้าห้อง ก่อนล้มตัวลงบนโซฟายาวนุ่ม เอนหลังมองออกนอกหน้าต่างชั้นสิบ ไฟระยิบระยับของเมืองหลวงช่างสร้างอารมณ์ที่แตกต่างจากบ้านตัวเองมากมายนัก ความสงบที่นี่สามารถพบเจอได้เมื่อกลับเข้าสู่อารามของตัวเอง มีเส้นแบ่งแยกอะไรต่าง ๆ มากมายในสังคมเมืองใหญ่แบบนี้ ไม่เว้นแม้แต่ความเป็นมนุษย์ด้วยกัน เราจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสบายใจหรือความวางใจต่อคนรอบข้าง ผู้คนเหมือนมีกรอบใส ล้อมรอบตัวเองเอาไว้ตลอด แบ่งระหว่าง คนนั้น คนนี้ คนโน้น อย่างชัดเจนถึงแม้จะมองไม่เห็นกรอบนั้นก็ตาม …. หรือนี่เป็นเพียงเพราะตัวเราเองที่นาน ๆ จะมาสัมผัสเมืองกรุง เลยเป็นความรู้สึกของคนที่วิถีชีวิตปกติต่างจากวิถีของสังคมเมืองใหญ่อย่างสุดขั้ว.. …. พลันสมองและสายตาก้อดับมืดลง

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ซักผ้าหน้าฝน

       

           "ย่างเข้าเดือนห๊ก ฝ่นก่อต๊กพรำ ๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระคนไปทั่วท้องนา" .. ร้องเพลงนี้จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรมากมายกับเรื่องราวที่จะบอกเล่าให้ฟังในครานี้เท่าไหร่นะครับ :) แค่เห็นว่าเข้ากับบรรยากาศ ณ บัดนาว ดีทีเดียว ... เพราะหลายวันแล้วที่บ้านเรา (เชียงใหม่ซิตี้) ชุ่มฉ่ำและเจิงนองไปด้วยสายฝน ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศเย็นสบาย ( แต่บางวันก็ร้อนระอุเหมือนเช่นเคย ) วันไหนแดดไม่มี ก็อากาศเป็นใจน่าให้ทำ....อะไรหลาย ๆ อย่าง ส่วนวันไหนแดดออก ก็ต้องรีบขนผ้าซัก เพราะกลัวแดดหายก่อนผ้าแห้ง แล้วเสื้อผ้าจะเหม็นอับ ...

          นี่แหล่ะครับ เลยเป็นแนวคิดให้เขียนเรื่องนี้ .... !!! คือการซักผ้าหน้าฝนนี่แหล่ะ ทำไงไม่ให้มีกลิ่นอับ เพราะสังเกตเห็นว่าหลาย ๆ ท่านบ่นอุบอิบกันในสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คยอดฮิต กันหลาย ๆ ท่านถึงเรื่องกลิ่นอันไม่ค่อยน่าอภิรมย์ของเสื้อผ้า ทั้งของตัวเอง และของผู้อื่น เวลาที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ... เรียกได้ว่า อาจถึงขึ้นหมดมู๊ดกันเลยทีเดียว ถ้าต้องตระกองกอดคนรักพร้อม ๆ กับกลิ่นเสื้อผ้าที่สุดแสนจะทรมานรูตะหมูก คิคิ

          เคล็ดลับที่ผมเองใช้เป็นประจำเมื่อย่างเข้าเดือนห๊ก เพื่อลดกลิ่นอับของเสื้อผ้า ก็ง่าย ๆ ครับ ... ก่อนอื่นเรามารู้กันสักนิดก่อนนะครับ ว่า กลิ่นอับมันเกิดจากอะไรกันแน่น๊อ .... กลิ่นอับที่ติดเสื้อผ้าเราหลังซัก คือ แบคทีเรียครับ พวกนี้เติบโตได้ง่ายเมื่อเสื้อผ้าของเรายังคงมีความชื้น (อันเนื่องมาจากความชื้นในอากาศสูง หรือ เสื้อผ้าเราชุ่มโชกอยู่เป็นประจำ ) เจ้าแบคทีเรียพวกนี้ก็มาจากตัวเรานี่แหล่ะครับ จากเหงื่อไคล ขี้ไคล ขี้ฉัน ขี้เธอ ผสมปนเปกับแบคทีเรียที่ลอยละล่องทั่วไปในอากาศอีก ผสมเจ้าพวกฝุ่นควัน ละอองมลพิษ ทำให้เจ้าพวกนี้ เกาะตามเสื้อผ้าที่เราใส่ได้อย่างง่ายดาย รอวันเจริญเติบโต ขยายตัว แบ่งตัว ส่งกลิ่น ตลบอบอวลให้เราได้ยี้กัน 

          เมื่อเราทราบแล้ว ว่ากลิ่น มาจากแบคทีเรีย .... ตรรกะ ก็ไม่ยุ่งยากแล้วครับ กำจัดแบคทีเรียได้ เสื้อผ้าเราก็ลดกลิ่นได ... เย้ ๆ   ง่ายดีทีเดียว ... โดยส่วนตัว ผมขอยกให้ เจ้า "ไฮเตอร์" เป็นราชาของการกำจัดแบคทีเรียครับ ( ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยนะนี่ ) และให้เจ้า " เดตตอล " เป็นราชินีเคียงคู่ราชา ( นี่ก็ไม่ได้ค่าโฆษณาอีกนั่นแหล่ะ ) ..... และยังให้เจ้า "โซเดียมไบคาร์บอเนต หรือ ที่เรา ๆ เรียกกันว่า เบคกิ้งโซดา และ น้ำส้มสายชูหมัก ย้ำนะครับว่าต้องน้ำส้มสายชูหมักเท่านั้น  ถ้าเป็นประเภทกลั่น จะค่อนข้างรุนแรงต่อเนื้อผ้าน่ะครับ ทั้งสองอย่างนี้ เป็นลูกชายและลูกสาวของ คิง และ ควีน ในการกำจัดกลิ่นครับ

          เพราะทั้ง คิง และ ควีน ต่างมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างแบคทีเรียได้อย่างดีเยี่ยมครับ วิธีการก็คือ ทุกครั้งที่เราซักผ้า หลังจากเติมผงซักฟอกแล้ว ให้เติม คิง หรือ ควีน ลงไปด้วยนิดหน่อย ประมาณ 10-15 มิลลิลิตร จากนั้นก็ซักไปตามปกติครับ   แต่ถ้าใครนิยมชมชอบแนว เนเชอรัลหน่อย ก็แนะนำให้ใช้ ลูกชายและลูกสาวผสมกัน สัดส่วนโดยประมาณคือ น้ำส้มสายชูหมัก 10-15 มิลลิลิตร ตามด้วย โซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนชา ในลงในถังซัก หลังจากใส่ผงซักฟอกแล้ว จากนั้นก็ซักตามปกติ ( อย่าเอาโซเดียมไบคาร์บอเนต ผสมกับน้ำส้มสายชูหมักโดยตรง ก่อนเทลงถังซักนะครับ ไม่งั้นได้เช็ดฟองฟู่กันทั่วแน่ ๆ ๆ ) เด็ก ๆ สายวิทย์ จะเข้าใจดีว่า สองตัวนี่มาเจอกันเมื่อไหร่ ฟองจะฟู่ ๆ ๆ ๆ  น่าดูชม จนทำภูเขาไฟจากเบคกี้งโซดาเล่นได้เลย 

          เมื่อเรามี คิง ควีน ซัน และ ดอเธอร์ แล้ว ..... วายร้ายที่ช่วยเร่งทำให้เกิดกลิ่น ก็คือ "น้ำยาปรับผ้านุ่ม" ครับ .... เจ้านี้ร้ายนักเวลาแดดไม่มี (แต่ถ้าแดดแรง ๆ ผ้าจะหอมครับ ) เพราะน้ำหอมในน้ำยาปรับผ้านุ่ม จะเปลี่ยนเป็นน้ำเหม็นทันทีเมื่อตากผ้าโดยไม่มีแดด ฉะนั้น ถ้าจะซักผ้าในวันไม่มีแดด หรือต้องการซักผ้าตอนกลางคืน .. ท่องไว้เลยครับว่า "ห้ามใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม"  

          ส่วนใครที่บ้านเปิดแอร์หึ่ง ๆ ตอนกลางคืนอยู่ตลอดเวลา ..แนะนำอีกนิดครับว่า ซักผ้าแล้ว เอาไปตาก ผึ่ง ไว้ในห้องแอร์เลยครับ ตื่นเช้ามาผ้าแห้งแน่นอน ( ผมทำประจำเวลาต้องไปอยู่โรงแรมครับ ขนาดยีนส์ยังแห้งเลย ) อธิบายได้ง่าย ๆ ครับ คือ แอร์จะดูดความชื้นไปนั่นเอง ... เหมือนกันกับเวลาที่เราอยู่ในห้องแอร์นาน ๆ แล้วรู้สึกริมฝีปากแห้ง ผิวแห้ง นั่นแหล่ะครับ 

          ทีนี้ จะซักผ้าหน้าไหนก็สบายใจได้เรื่องกลิ่นอับแล้วละครับ ......... 

          
          แต่ถ้าบ้านใครมีเครื่องอบผ้าแห้ง....... !!!!    ข้ามบทความนี้ไปได้เลยนะครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ  




วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ความคิดดีๆ บางทีก้อเกิดขณะเมาๆ


 ผ่านพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่ไปได้เจ็ดวัน เชียงใหม่เริ่มกลับสู่สภาพปกติ เพราะช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นเรียกได้ว่าแทบจะย้ายเมืองหลวงมาอยู่ในอ้อมกอดของดอยสุเทพกันก็ว่าได้ ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมของประเทศไทยแลนด์ที่ต่างหลั่งไหลขึ้นมาด้วยความหวังจะสัมผัสความสวยงามของธรรมชาติ บรรยากาศเมือง วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และอากาศที่กำลังเย็นสบาย ทำให้เชียงใหม่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ส่งผลให้ถนนเล็กๆ เมืองเล็กๆ แห่งดินแดนตอนเหนือของประเทศแทบเป็นอัมพาต แต่ถึงกระนั่นเชียงใหม่ก็ยังคงขลังด้วยมนต์เสน่ห์ทที่ยากจะคลาย

สิ่งที่ได้รับผลจากทุกเทศกาลท่องเที่ยวของเชียงใหม่ นอกจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ แล้ว บรรดาร้านอาหารก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ทั้งแนวพระอาทิตย์ขึ้น เช่น ร้านข้าวซอย ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขนมจีน และแนวพระอาทิตย์ตก ได้แก่พวกผับ บาร์ ร้านอาหารฟังเพลง ต่างอุดมไปด้วยผู้คนชนิดที่เรียกได้ว่า ทุกร้านห้ามพนักงาน ป่วย หยุด ลา ขาด บางร้านถึงกับให้ค่าแรงสองเท่าแก่พนักงานที่ทำงานในช่วงนี่กันเลยทีเดียว

และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ออกบ้านไปไหนเลยในช่วงครื้นเครงของเชียงใหม่ จนผ่านไปได้เจ็ดวัน จึงถึงวันที่ผมมีนัดกับเพื่อนๆ เพื่อฉลองปีใหม่กัน คราวนี้ถึงคิวร้านที่ผมไม่ได้ไปเยือนนานมากร่วมสามปี ที่ตั้งอยู่ถนนสุเทพทางขึ้นดอยสุเทพ ก่อนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลายๆท่านน่าจะรู้จักกันดีโดยเฉพาะชาวเชียงใหม่เรา นั่นคืิิอร้าน โมซีโมแอล

สมาชิกสำหรับปาร์ตี้ค่ำคืนนี้รวมแล้วเจ็ดคนพอดิบพอดี ( ก้อวันที่ 7 นี่นา ) ก่อนที่จะออกจากบ้าน ผมคิดไว้อยู่แล้วว่าจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์ กะจะจิบชาร้อนเบาๆ แต่ท้ายที่สุด ตบะที่บำเพ็ญมาขณะขับรถมาถึงร้านก็มีอันพังทะลาย เมื่อเห็นเพื่อนหิ้วไวน์มาหนึ่งกล่องใหญ่กับอีกหนึ่งขวด พร้อมด้วยวิสกี้ โอ้ววววววววววววว น้ำลายแตกฟองเลยทีเดียว ว่าแล้วพนักงานก็จัดแจกแจงแก้วพร้อมรินไวน์ให้ครบคน ต่อจากนั้นทุกท่านคงนึกภาพออกนะครับว่าบรรยากาศในวงเหล้าจะเป็นเช่นไร

นอกจากเสียงกระทบแก้วที่ดังกริ้งๆ (เสียงชนกันของแก้วไวน์จะดังไพเราะเสนาะโสตหูมากกว่าแก้ววิสกี้ เพราะแก้วมันกว้างกว่าไงคับ) ยังมีเสียงหัวเราะสรวนเสเฮฮา คลุกเคล้าด้วยเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องที่คอยขนเอาเพลงรักเหงา เศร้า สมหวัง มาร้องให้เราฟังและอินไปกับเพลง....โดยส่วนตัวผมชอบพูดอยู่เสมอๆ เมื่อมีใครถามว่าชอบกินเหล้าหรือ ผมจะตอบว่า "จริงๆแล้วไม่ได้ชอบกินเหล้าหรอก แต่ชอบบรรยากาศในวงเหล้ามากกว่า". เหตุผลง่ายๆคือ ทุกครั้งที่ยกแก้วขึ้นดื่ม คนกินเหล้าแทบทุกคนจะค่อยๆ ละลายหัวโขนที่ตัวเองสวมอยู่ จนเป็นตัวของตัวเองในที่สุด

          นอกจากการยกแก้วแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ในวงเหล้าคือ บทสนทนา ซึ่งหัวข้อการสนทนาจะแตกต่างกันไป ตามแต่กลุ่มผู้ร่วมชนแก้ว แต่ถึงกระนั้น หัวข้อยอดนิยมก็จะหนีไม่พ้นเรื่อง ความรัก อกหัก รักคุด สมหวังปานน้ำผึ้งเดือนห้า หรือไม่ก็กำลังอยู่ช่วงระหว่างดูใจดูกายกัน เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เหล่านี้มักจะเป็นหัวข้อที่คุยกันสนุกในวง ถัดมาอีกหัวข้อจะเป็นเรื่องตลกหกเก้าใต้สะดือ ( ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยอดฮิตติดชาร์จอันดับต้น ๆ ของทุกกลุ่มก็ว่าได้ครับ เนื่องจาก ทุกคนในวงสามารถมีส่วนร่วมและเข้าถึงเรื่องราวได้โดยไม่ต้องอาศัยทักษะความรู้เฉพาะด้าน 55555 ) บางกลุ่มก็คุยกันเรื่องงาน บางกลุ่มก็คุยกันเรื่องบุคคลโต๊ะใกล้ ๆ ที่ตัวเองแอบหมายปอง บางกลุ่มก็คุยกันถึงพนักงานในร้านรวมถึงเด็กเสริฟ เด็กเชียร์ ว่ากันไปครับ .. แต่มีอยู่สามหัวข้อที่ผมขอไม่แนะนำในการตั้งเป็นกระทู้สนทนาในวงเหล้า นั่นคือ การเมือง ศาสนา และความเชื่อส่วนบุคคล เพราะท้ายที่สุดอาจไปลงเอยกันที่โรงพัก ไม่ก็เลยไปถึงโรงพยาบาลแน่นอน 55555

          และเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนแห่งการดื่มจนถึงรุ่งสางของวันใหม่ ที่เราทุกคืนลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมความปวดหัว และร่างกายแทบสลาย สิ่งที่เราได้คุย ๆ กันไปในวงเหล้านั้น มักจะอันตรธานหายจากสมองเราไปสิ้น เรียกได้ว่าแทบจะลืมทุกสิ่งที่ได้หลุดจากปากเราไป .... แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปครับ ผมกลับหวนระลึกถึงสิ่งที่ได้มีการสนทนากับเพื่อนเมื่อคืนที่ผ่านมา นั่นอาจเป็นเพราะ หัวข้อสนทนาหนึ่งที่ถูกตั้งขึ้นโดยเพื่อนผมคนหนึ่งที่ชื่อ ชมพู่ หรือ พู่ระหง ที่ผมชอบเรียกเธอ ... เธอเป็นคนมั่นใจในตัวเองเหมือนถอดแบบมาจากชาวตะวันตก กล้าพูด กล้าคิด และกล้าทำ ในสิ่งที่เธอชอบ เธอเป็น เธอใช่ เรียกได้ว่า เป็นบุคคลที่มีอัตลักษณ์ในตัวโดดเด่นเป็นสง่ามากครับ ( จริง ๆ แล้ว ผมอยากให้คนไทยเรามีความมั่นใจ กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด ในสิ่งที่ถูกต้องเหมือนเธอนะครับ ) .... พู่ระหง ได้ตั้งกระทู้ขณะที่ทุกคนในกลุ่มกำลังละเลียดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมือของตัวเอง ด้วยคำถามที่ว่า " ปีนี้แต่ละคนมีเป้าหมายในชีวิตอะไร" ..... โอ้วววววววว เธอมาแล้วครับ ....

          แต่แทนที่ทุกคนจะหัวเราะกับคำถามแนวใช้ทักษะของเธอ  ทุกคนกลับนิ่ง ผมแอบสังเกตว่าทุกคนใช้ความคิดครับ .... หน่วยประมวลผลในสมองแต่ละคนกำลังทำงานด้วยความไวเหนือความไวแสง สะท้อนออกมาเป็นประกายจากทางดวงตา ... ผมเลยอดคิดไม่ได้ว่า แต่ละคนกำลังคิดถึงอะไร และทำไม

          พู่ระหง เธอเริ่มกลายร่างเป็นโอปราห์ วินฟรีย์  Live's Show in Thailand. โดยเธอให้แต่ละคนพูดถึงสิ่งอันเป็นเป้าหมายในชีวิต ที่คาดว่าปีนี้จะต้องทำให้ได้ หรือทำให้สำเร็จ พอคนหนึ่งพูดจบ เธอจะสรุปเรื่องราวอีกรอบ พร้อมยกแก้วขึ้น และพูดว่า " ขอให้สิ่งที่คิดหรือตั้งใจไว้สำเร็จ" แล้วทุกคนก็ยกแก้วขึ้นดื่มพร้อมพูดแบบเดียวกัน ...... เธอทำแบบนี้กับทุกคนจนครบทั้งเจ็ดคน (นั่นหมายความว่าต้องดื่มเจ็ดครั้ง เล่นเอามึนกันเลยทีเดียวครับ ) แต่สิ่งที่ผมสังเกตเห็นได้ทุกครั้งที่ยกแก้วดื่มคือ ตาของผู้พูดจะเป็นประกายเปล่งรัศมีแห่งความแน่วแน่ ในสิ่งที่ตนเองได้พูดออกไป ..... ยืนยันกับตัวเองว่า .. ฉันจะต้องทำมันให้ได้...

          พู่ระหง ไม่เพียงสร้างความแตกต่างในการสนทนาในวงเหล้า .... แต่สิ่งที่เธอทำ เป็นแรงผลักดันให้เพื่อน ๆ ได้ค้นหาความต้องการที่แท้จริงในใจตนเอง (ที่เราอาจลืม หรือ ละเลยมันไป )  และพยายามหรือมีความต้องการที่จะทำมันให้สำเร็จ โดยมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนดเพื่อให้มันเกิดความสำเร็จขึ้นได้ .... เพราะการที่คน ๆ หนึ่งพูดถึงความต้องการของตัวเองต่อหน้าคนอื่น ความหมายโดยนัยคือการให้คำมั่นสัญญากับผู้อื่น และที่สำคัญคือการให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง เป็นการสร้างความเคารพในความคิดของตนเอง และ สร้างศรัทธาให้กับการกระทำของตัวเอง

          ผมขออวยพรให้กับเพื่อน ๆ ในวันนั้น  ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการให้สำเร็จทุกคน รวมถึงตัวผมเองด้วย ความฝัน บางครั้งมันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หรือเป็นเรื่องสำคัญอะไรมากมาย แต่เมื่อเราทำฝันของเราให้สำเร็จ ความฝันนั้นจะกลายเป็นแรงบันดาลใจ และกำลังใจ ให้กับตัวเรา เพื่อกล้าที่จะฝันและทำมันต่อไป...  เพราะสิ่งที่ผมชอบพูดอยู่เสมอคือ "คนเราหมดอะไรก็หมดได้ แต่อย่าหมดกำลังใจ" เพราะมันจะทำให้เราหยุดเดิน และชีวิตจะสิ้นสุดทันที

          ผมต้องขอบคุณ พู่ระหง... เธอได้สร้าง Foot Print ที่ดีไว้ .... รอให้คนในวงเหล้าอีกหลายคนเดินตาม ... เพราะหลาย ๆ ครั้ง ที่ความสนุก ความเฮฮา ก็ไม่ได้ไร้สาระเหมือนที่หลายคนเคย หรือชอบ
กล่าวไว้.............. อีกต่อไป .....










วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

Wheels of Happiness


เคยคิดไหม ว่าเจ้าสิ่งนี้ ให้อะไรแก่เรามากกว่าการปวดน่อง??

สิ่งที่หลาย ๆ คนบ่น ( ซึ่งผมก็ชอบบ่น ) เหมือนกัน ก็คือ ปั่นจักรยานแล้วปวดน่อง ปวดหลัง ปวดก้น ( บางรายบ่นว่าปวดก้นกบร้าวไปถึงทวารหนัก ) ผมก็เคยเป็นเหมือนกันครับ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผมห่างหายจากการใช้กล้ามเนื้อล่างเอวลงไปทำงาน.. จนมาวันนึง ผมมีโอกาสได้ไปหลวงพระบาง สิ่งที่คนส่วนมากไปเที่ยวเมืองที่น่ารักแห่งนี้คือ การปั่นจักรยานชมเมืองเก่า วัดวาอาราม รวมไปถึงใช้เป็นพาหนะพานักท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนในเมือง.. และผมก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวเหล่านั้น ผมยืมจักรยาน ( สไตล์คุณแม่บ้านไปจ่ายตลาด ) คือมีตระกร้าหน้ารถ มีกริ่ง มีไฟแบบปั่นโดยใช้ล้อหน้า รูปทรงคนละประเทศกับทรง เมาท์เทนไบท์ … ผมปั่นจากที่พักเข้าไปชมเมือง ไปร้านกาแฟ ไปถนนคนเดิน ไปวัด ไปทานข้าวเย็น ไปนั่งจิบไวน์ … แล้วก็เริ่มคิดได้ว่า เจ้านี่มันน่าอภิรมย์มากทีเดียว ( ถ้าไม่นับอาการปวดก้นเพราะเบาะแข็งไปนิด ) รวมถึงกล้ามเนื้อส่วนล่างเอวลงไป ได้บริหารยืดหยุ่น และเหนือสิ่งอื่นได คือ ได้เห็นสองข้างทางที่ผ่านอย่างบรรจง .. มุมมองมันช่างแตกต่างจากการขี่รถจักรยานยนต์ หรือขับรถยนต์ มากมายนัก
กลับมาถึงบ้าน… เจ้าสองล้อนี้ฝังอยู่ในความคิดผมตลอดเวลา จะหลับ จะตื่น จะทานข้าว จะเข้าส้วม ก็ได้แต่คิดถึงมัน ผมจึงตัดสินใจว่า ต้องมีเจ้านี้ให้ได้ …. วันนึงผมได้มีโอกาสไปนั่งทานกาแฟ แถว อ.แม่ริม ชื่อร้าน ศาลากาแฟ ร้านสุดฮิบของโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่หลาย ๆ คนไปกัน ระหว่างทางผมได้จ๊ะเอ๋กับร้านขายรถจักรยานมือสองอยู่ร้านนึง และคิดว่าร้านนี้รถเยอะดีทีเดียว น่ามาชม … ผ่านไปหลายวันนับจากวันที่ไปนั่งละเลียดกาแฟ ผมก็ยังไม่มีโอกาสไปชมสักที ( แต่ระหว่างนั้น ก็ไปเดินดูตามห้างร้านทั่วไป แต่ก็ไม่ถูกใจคันไหนเลย อาจเพราะรูปทรง ราคา และ คนขาย ที่ผมไม่ประทับใจ ) และแล้วฤกษ์ดีก็มาถึง ผ่านปีใหม่ไปได้ไม่กี่วัน ผมมีเวลาว่างพอที่จะไปชมจักรยานที่ร้านดังกล่าว จึงมุ่งหน้าไปแต่เช้า และแล้วก็ไม่ผิดหวัง ผมได้เจอะกับเจ้าสองล้อ พร้อมด้วยรอยยิ้มและบริหารของคนขาย รวมไปถึงราคาที่สมเหตุผล …ผมจึงพาเจ้าสองล้อกลับมาบ้านด้วยความปิติยินดี และมีความสุข ( ผมประหลาดใจกับตัวเองเป็นที่สุดว่า เหตุไฉนเพียงแค่ได้เจ้าสองล้อนี่มา ความสุขครอบเต็มหัวใจผม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มปั่นด้วยซ้ำ )  
เย็นวันนั้นผมได้นำเจ้าสองล้อ ออกปั่นไปจ่ายตลาด … ภาพสองข้างทาง ช่างแตกต่างจากปกติที่ผมมักใช้จักรยานยนต์ไปจ่ายตลาดเสียเหลือเกิน ผมเห็นความสวยงามของสีสันหลังคาบ้าน สีสันตัวบ้านเรียงรายข้างทาง เห็นแสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบดอยสุเทพ โดยมีต้นไม้เป็นภาพเงามืด เห็นกองฟาง ที่สุมกันอยู่ตามข้างทางพร้อมกลิ่นฟางแห้งโชยเข้าจมูก ทำให้นึกถึงตอนสมัยยังเด็ก ที่ออกไปนาแทบทุกวัน… เห็นรอยยิ้มของผู้คนที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน เห็นรอยยิ้มลูกสาวตัวน้อยซ้อนท้ายจักรยานที่แม่กำลังปั่นเข้าบ้านหลังจากกลับจากโรงเรียน เห็นหมาน้อยนอนเกลือกกลิ้งกองทรายริมทางอย่างสนุกสนาน เห็นนกกระปูดเกาะกิ่งไม้แห้งข้างทาง พร้อมเสียงร้องอันแปลกประหลาด เห็นยายกำลังทำกับข้าวในครัวแบบชาวบ้านที่เปิดโล่งทั้งหมด บนเตามีหม้อดินที่ควันกำลังกรุ่นพุ่งออกมา โชยกลิ่นแกงหอมมาถึงริมถนน เห็นลุงกำลังนั่งซดเหล้ายาดอง พร้อมเสียงหัวเราะอย่างเมามัน … และสิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นได คือแทบทุกคนที่ผมขี่ผ่าน แม้จะไม่รู้จักผมเลย ก็จะส่งยิ้มอันจริงใจให้ผม พร้อมเสียงทักทายอันจริงใจในแบบชาวบ้าน ที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเต็มเปี่ยม 
สิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นทุกวัน เพียงแต่ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยเห็น อาจเป็นเพราะความเร่งรีบที่ผมอยากจะถึงจุดหมาย มากกว่าที่จะยอมละเลียดเวลาเพื่อซึมซับความสุขรอบกาย ระหว่างทาง .. เจ้าสองล้อถีบ ทำให้ผมไปถึงจุดหมายอย่างแตกต่าง  ความแตกต่างนั่นคือความสุขอันมากมายที่รอผมอยู่สองข้างทาง