วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไปแอ่วเกาหลีมาล่ะ

หลังจากหม่ำอาหารบนความสูงสามหมื่นฟุต ตามด้วยขนมปังอีกหนึ่งก้อน ล้างคอด้วยน้ำส้มอีกหนึ่งแก้ว สายตาก้อมองออกนอกหน้าต่างเห็นแสงสีส้มกำลังจะลับขอบฟ้า ก้อนเมฆลอยแน่นอยู่ใต้ท้องเจ้านกเหล็กที่ทะยานออกจากอินชอน กรุงโซล เหนือน่านฟ้าคาบสมุทรเกาหลีเพื่อมุ่งหน้ากลับสุวรรณภูมิได้ราวสามสิบนาที ยังเหลือเวลาแกร่วอยู่ในท้องเจ้านกเหล็กนี่อีกตั้งห้าชั่วโมง!... ทำดีน้ออออเรา...แองกรี้เบิร์ดก้อเล่นตอนขามาแล้ว เพลงที่โหลดไว้ก้อฟังจนครบทุกอัลบั้มแล้ว .....ฉับพลันแสงรำไรสีส้มแดงที่ไล่เฉดไปจนถึงน้ำเงินเข้มสุดเส้นขอบฟ้าก้อกระแทกความสวยเข้าสมองอย่างจัง เออออออออนะ! เขียนบันทึกการมาเที่ยวครั้งนี้สักหน่อยดีกั่ว... ว่าแล้วก้อจัดแจงลุกไปเข้าเข้าห้องน้ำ ก่อนกลับมานั้งที่เก้าอี้ชั้นอีโคโนมิคอันมีพื้นที่จำกัดไม่ต่างจากที่นั่งรถเมล์ในกรุงเทพ.. เสียบหูฟังเข้าสองหูและเรียกหลานแจ้กกี้ อะวังโก้มาร้องเพลงขับกล่อม ก่อนลงมือจิ้มๆๆๆๆเจ้าไอแพดเพื่อบันทึกเรื่องราวความสนุกสนานเล็กๆน้อยๆ ที่กำลังจะผ่านไปแล้วกับการผจญภัยในต่างแดนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแดนกิมจิอันน่าหลงใหล สวรรค์ของวัยรุ่นกับกระแสดารานักร้องเกาหลีฟีเวอร์

ผมไม่แปลกใจเลยครับที่วัยรุ่นบ้านเราจะเกาะติดกระแสเกาหลีอย่างเหนียวหนึบยิ่งกว่าขนมตังเม ( ซึ่งวัยรุ่นสมัยนี้แทบไม่รู้จักกันแล้ว แต่รู้จักบูโกกิ หรือบิบิมบับ แทน ). เพราะการสร้างวัฒนธรรมคลั่งเกาหลี ได้แทรกซึมไปทุกอนูของเมืองไทย ตั้งแต่ดารานักร้อง อาหาร หรือแม้แต่ศัลยกรรมความงามอันเลื่องชื่อ

เพราะคนเกาหลีบอกผมเองว่า ดารานักร้องเกาหลีทุกคนผ่านการทำศัลยกรรมใบหน้ามาทั้งนั้น ข้อนี้ผมเชื่อเกินร้อยเปอร์เซ็นครับ เพราะถ้าใครจินตนาการว่ามาเที่ยวเกาหลีแล้วจะเจอแต่คนสวยๆหล่อๆเหมือนอย่างที่เราเห็นในจอทีวีนั้น ผมบอกให้ได้เลยครับว่าผิดหวังแน่นอน เพราะผมแทบนับคนหน้าตาดีได้เลยครับ จะเห็นเยอะนิดหน่อยก้อแค่ย่านเมียงดงซึ่งเป็นที่ช้อปของบรรดาวัยรุ่นเกาหลีและนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เราจะเจอหนุ่มสาวเกาหลีแต่งตัวแฟชั่นนิสต้าออกมาเดินท้าลมหนาวยามค่ำคืนกันให้ขวักไขว่ ผมก้อพยายามสอดส่ายสายตาอันพร่ามัวหาคนหน้าตาดี โอ้วววว แม่เจ้าเจอเข้าแล้วคนนึง..พ่อค้าขายถุงน่อง หน้ายังกะเรน ทีแรกไม่เชื่อสายตาตัวเองถึงขั้นวกกลับมาพินิจอีกรอบ แหมมมมม น้องหน้าเหมือนเรนแทบจะเป็นฝาแฝด อยากขอเข้าไป อันยองอะเซโย เทคอะโฟโตวิทมีพลีส ก้อกะไรอยู่ 55555. ได้แต่มองๆแล้วก้อก้าวเท้าเดินต่อไป ผ่านร้านรวงและผู้คนมากมาย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบ้านนอกเข้าเมืองใหญ่อย่างผมไม่น้อย ....และเสียงที่จะได้ยินเข้าโสตหูไม่ขาดสายคือ พ่อค้าแม่ค้าที่นี่ทักทายว่า สวัสดีคับ สวัสดีค่ะ แหมมมมม ชาวไทยเราคงไปเที่ยวกันเยอะจนพ่อค้าแม่ค้าหัดพูดภาษาไทยกันเลยทีเดียว (คนเกาหลีบอกกับผมว่า คนไทยมาเที่ยวเยอะมาก ช้อปปิ้งกันเยอะมากกกก สินค้าขายดีคือเครื่องสำอาง ที่คนไทยมาหอบกลับกันไปเป็นกุรุสๆ และที่ย่านเมียงดงนี่ก้อมีให้เลือกละลานตากันเลยทีเดียว ทั้งลดทั้งแถม ยิ่งถ้าบอกเค้าว่าเราเป็นคนไทย เค้ายิ่งแถมๆๆๆๆๆ อ๊ะ! ไหนๆ ก้อไหนๆละเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ ก้อขอชะม้ายเมียงมองหาครีมทาหน้าแจ่มๆสักกระปุกกลับไปไว้ใช้เอง เผื่อจะหล่ออย่างดาราเกาหลีมั่ง .... คิดได้อย่างนี้แล้วก้อเดินหาร้านเครื่องสำอางทันที หลังจากที่เดินห่างจากน้องเรนถุงน่องไปได้ยังไม่ถึงสิบเก้า โอ้วววววแม่เจ้า รูปน้องนิชคุณเป็นแบบถ่ายโฆษณาครีมทาหน้าจากเมือกหอยทาก!

 (ชาวเกาหลียังบอกอีกว่า ยูรู้มั้ยว่าดารานักร้องชายคนไหนที่ดังที่สุดในเกาหลีตอนนี้ ไอ้เราก้อไม่ค่อยจะรู้จัก อันที่จิงไม่รู้จักเลยละ ถ้าไม่นับน้องคุณซึ่งเป็นคนไทย และเจ้าพ่อกังนัมสไตล์...เค้าเฉลยว่า นิชคุณไง ดังอันดับหนึ่งเลย. ). น่าปลื้มใจเน้อะ อิอิ นี่แหล่ะเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจไปสอยครีมเมือกหอยทากที่น้องคุณเป็นพรีเซนเตอร์มาลองใช้ 55555 ราคาก้อไม่ได้ว่าแพงมากมายจนจับต้องไม่ได้นะครับ สนนราคากระปุกละ 35000วอน หรือราวๆหนึ่งพันบาทหน่อยๆ (ผมคอนเวิร์ทค่าเงินง่ายๆแบบนี้ครับ 1000 วอน เท่ากับ 1 เหรียญยูเอสดอลลาร์ หรือเท่ากับ 30 บาท ) แถมให้อีกนิด คนเกาหลีกระซิบบอกผมว่า ยี่ห้อเครื่องสำอางเกาหลีที่ดัง ๆ ในเมืองไทย อย่าง สกินฟูด หรือ อีจูดี้ คนเกาหลีไม่นิยมนะครับ เครื่องสำอางอันดับต้น ๆ ของเกาหลีที่คนเกาหลีนิยมใช้ มีสองสามยี่ห้อ ผมจำไม่ได้ล่ะคับ อิอิ



ได้ครีมสมใจแล้ว ก้อยืนชื่นชมรูปน้องคุณอันน่าร้ากกกอยู่พักนึงก่อนจะเดินวกกลับไปสิบก้าวเพื่อแอบเมียงมองดูน้องเรนถุงน่องอีกสักแว้บนึงก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินเล่นต่อไป ผมเข้าร้านนู้นออกร้านนี้อย่างสนุกสนาน เพลิดเพลินบันเทิงตา มองหาคนหน้าตาดีๆ พลันหูเจ้ากรรมก้อดันได้ยินเสียงผู้ชายพูดว่า "สวัสดีเจ้า เฮาเป๋นกะเทยเจ้าาาา " เท่านั้นแหล่ะผมรีบเดินหาต้นตอเสียงทันที และภาพที่พบคือหนุ่มเกาหลีหน้าตาดีใส่สูทสีดำ กำลังพูดออกโทรโข่งเพื่อขายผ้าพันคอ ผมเลยเดินเข้าไปและสวัสดีเจ้าาาาาตอบ ตามมารยาทอันงดงามของจาวล้านนา" อันยองอะเซโอ สวัสดีเจ้าาาาาา " พ่อค้าหัวเราะร่วนเลย แหมมมมเข้าใจเรียกลูกค้านะเนี่ยย สรุปคือพ่อค้าคงไปหัดเรียนมาจากคนไทยที่ทำงานอยู่ในกรุงโซลนั่นแหล่ะ 55555น่ารักไปอีกแบบครับ ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ เลยอุดหนุนผ้าพันคอพ่อค้ามาหนึ่งผืน 2900วอน เป็นเงินไทยก้อราวๆ80บาท ก่อนจะ คัมซาฮามิดะ แล้วเดินเล่นต่อไป

ความสนุกของการเดินเล่นย่านเมียงดงนี่ืคือ นั่งร้านกาแฟแล้วมองดูคู่รักเค้ามาเดินจูงมือเล่นกัน เพลินตาดีครับ เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าหนุ่มสาวเกาหลีมีความมั่นใจที่จะโอบกอด ตระคองกอด รวมไปถึงพรอดรักกันในที่สาธารณะอันคลาคล่ำไปด้วยผู้คนได้อย่างไม่เขินอาย และสิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างคือวัยรุ่นเกาหลีตัวใหญ่โตกันมากทีเดียว แคระๆแทบไม่มีให้เห็นเลย. แถมมาเกาหลีครั้งนี้ไม่เจอคนอ้วนเลย! ทุกคนรูปร่างดีสมสัดส่วน ไม่เว้นแม้กระทั่งคนแก่ๆ คนเกาหลีเค้าชอบออกกำลังกายครับ กิจกรรมยอดนิยมของคนเกาหลีในวันหยุดเสาร์อาทิตย์คือการออกไปแคมป์ปิ้งและเดินป่าครับ


ผมได้มีโอกาสไปที่เขาซอรักซานในวันเสาร์พอดี ( ต้องนั่งรถบัสจากโซลไปราว 4 ชั่วโมง )  โอ้วววววววววคนไปเที่ยวเดินป่าเยอะมากกกกกกก. ถึงขั้นรถติดแบบกรุงเทพเลยครับ แต่ละคนทั้งวัยรุ่น เด็ก คนชรา ต่างพากันแต่งชุดเดินป่า สะพายเป้ ถือไม้เท้าหดได้ยืดได้สำหรับเดินป่าโดยเฉพาะ ไปเดินป่าแค้มปปิ้งกันเต็มไปหมด เค้าบอกว่า เดินเข้าป่าอุทยานไปตั้งแค้มป์หนึ่งคืนแล้วค่อยกลับอีกวันนึง


 แถมบ้านพัก โรงแรม เกสต์เฮ้าส์จะถูกจองและคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดครับ เห็นบรรยากาศการท่องเที่ยวของคนเกาหลีแล้ว ก้อคิดถึงคนไทยเราที่พอถึงหน้าหนาวก้อจะยกขบวนกันไปเที่ยวจังหวัดทางภาดเหนือยังไงยังงั้นเลยครับ เพียงแต่ว่าที่เกาหลีนี่เค้าชอบไปกันทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บ่อยกว่าคนไทยเราครับ ด้วยนิสัยการชอบออกกำลังกายและทางรัฐบาลเค้ารณรงค์งดกินไขมัน เลยทำให้คนเกาหลีรูปร่างดี แข็งแรง ผมเห็นคนแก่คนนึงวิ่งขึ้นวิ่งลงระหว่างทางขึ้นหอคอยชมวิวกลางกรุงโซล


ซึ่งผมต้องใช้ความพยายามของกล้ามเนื้อน่องจนถึงขีดสุด ในการเดินขึ้นกว่าจะถึง 55555 หลาย  ๆ  คู่รักมักเอากุญแจสายยู ไปคล้องกันที่นี่ เพราะเชื่อกันว่าจะได้อยู่กันตราบชั่วดินฟ้าสลาย แต่คนเกาหลีบอกผมว่า เพื่อนเค้าแต่งงานกัน มีลูกแล้วสองคน พากันเอากุญแจไปคล้อง ผ่านไปสี่เดือน หย่ากันเลย! 555

 สิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างคือ ในกรุงโซลมีร้านกาแฟเยอะมากกกกกกกจิงๆครับ

ที่พี่โน้สอุดมแต้ เคยแซวเชียงใหม่ว่ามีร้านกาแฟเยอะขั้นว่าสะดุดล้มตรงไหนเงยหน้ามาก้อเจอร้านกาแฟนั้น ผมว่ายังแพ้กรุงโซลครับ เพราะที่นี่ร้านกาแฟเยอะจิงๆ แทบจะทุกห้าสิบเมตรจะต้องเจอร้านกาแฟเลยล่ะครับ ร้านกาแฟเท่าที่ผมจำได้ เพราะมีสาขาเยอะมาก เดินไปทางไหนก้อเจอ เช่น ทอม แอน ทอม คอฟฟี กับ  คอฟฟี เบเน่ ( จิง ๆ แล้วมีเยอะมากกก  จำได้ไม่หมดอ่ะคับ )



คนเกาหลีเค้าชอบทานกาแฟครับ ผมได้ลองชิมหลายๆร้าน สรุปได้ว่า กาแฟเมืองไทยอร่อยกว่ามากครับ คนเกาหลีเค้าจะทานกาแฟกันจืดมากกกก ขนาดกาแฟร้อนเอสเพรสโซยังจืดเลยครับ ต้องสั่งดับเบิ้ลช็อตหรือไม่ก้อทริปเปิ้ลช็อตไปเลย และที่นี่เค้าไม่นิยมเติมน้ำตาลลงในกาแฟนะครับ หากใครติดหวานขอน้ำตาลเพิ่มเค้าจะบอกว่าไม่มีครับ ต้องให้เค้าเติมไซรัปให้แทนครับ ส่วนกาแฟเย็น ผมขอนิยามคำศัพท์ให้กาแฟเย็นในเกาหลีว่าเป็น ไดรูทคอฟฟี่ เลยครับ เพราะวิธีการทำกาแฟเย็นของที่นี่คือ เอาแก้วมา ใส่น้ำแข็งไปเกือบเต็มแก้ว เติมน้ำเย็นไปจนเกือบเต็มแก้ว บีบไซรัปลงไปสองฟืด แล้วถึงใส่เอสเพรสโซ่ไปหนึ่งซ็อต คนให้เข้ากัน เสร็จแล้วววววว ไอซ์คอฟฟี่!!!!!!!! ขอบอกเลยว่าจืดสนิทครับท่าน และทุกร้านทำแบบนี้เหมือนกันหมด

 คนเกาหลีที่เคยมาเที่ยวเมืองๆทยเค้าบอกว่าคนไทยกินกาแฟเข้มมากกกก 5555. ผมว่าแต่ละที่แต่ละประเทศก้อแตกต่างกันแหล่ะครับ แต่ที่สำคัญคือร้านกาแฟในเกาหลีจะใช้พนักงานที่เป็นหนุ่มสาวหน้าตาดีๆๆ ไม่มีคนแก่ลุงๆป้าๆ มาทำให้บรรยากาศร้านดูวินเทจเหมือนแถวบ้านเราเลยครับ 555555 นั่งจิบกาแฟไปดูน้องๆพนักงานหน้าตาใสๆขาวๆก้อคุ้มค่ากับการข้ามน้ำข้ามทะเลมาแล้วล่ะครับ55555 แถมยังอัธยาศัยดีกันอีกต่างหาก หน้าตายิ้มแย้มตลอดไม่มีบูดบึ้งกันเลย ประทับใจจริงๆ หลายๆร้านที่บ้านเราน่าจะเอาเป็นตัวอย่างมั่งนะ อิอิ

 พูดถึงเรื่องอัธยาศัย โดยส่วนตัวผมชอบคนเกาหลีมากกว่าคนจีนในฮ่องกงอีกครับ คนที่นี่อัธยาศัยดี ยิ้มแย้ม เป็นมิตร มากกว่าที่ฮ่องกงครับ ไม่มีชักสีหน้า ไม่มีหัวเราะใส่นักท่องเที่ยว ไม่มีบ่นหรือด่าตามหลังเวลาเราถามซื้อของ เพียงแต่ผู้คนที่นี่เวลาเดินชนกันจะไม่ขอโทษขอโพยเหมือนคนไทยครับ เค้าถือว่าชนกันนิดหน่อยเป็นเรื่องธรรมดา ชนแล้วก้อเดินต่อไปไม่สนใจ คนเกาหลีชมคนไทยครับว่าเป็นคนที่มารยาทดีที่สุดในโลก เราได้ยินก้อยิ้มเลยครับ น่าประทับใจจริงๆ แถมคนเกาหลีก้อไม่ได้ใช้ชีวิตแบบรีบเร่งแก่งแย่งกันเหมือนเมืองใหญ่หลายๆเมืองในโลก ความรู้สึกผมที่สัมผัสได้ในกรุงโซลคือ เมืองเจริญแต่มีระเบียบ ไม่วุ่นวาย ไม่รีบเร่ง อยู่กันแบบสบายๆ.


 ถ้าจะให้เห็นภาพคือเมืองเจริญเหมือนกรุงเทพ (แต่ตึกรามเค้าสวยกว่า เป็นระเบียบกว่า รถไม่เยอะ และสะอาดกว่า). แต่ผู้คนอยู่กันสไตล์เหมือนเชียงใหม่ คือชิลๆไม่รีบไม่ร้อนไม่เร่งอะไรมากมาย ผมได้ยินเสียงรถบีบแต่แค่สามสี่ครั้งเองครับ คนเดินข้ามถนนก้อเรื่อยๆ ไม่รีบวิ่งตึกตักๆ เรียกได้ว่าแตกต่างจากที่คิดไว้่มากทีเดียวครับ คิดแล้วเห็นแล้วก้ออยากให้บ้านเราเป็นแบบนี้มั่งจังเน้อะ จะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกันเยอะขึ้น อิอิ

ความสนุกอีกแบบที่ผมชอบคือ ได้ไปปั่นจักรยานบนรางรถไฟชมทิวทัศน์ฝั่งทะเลแปซิฟิคด้านตะวันออกของเกาหลี สนุกและได้ความรู้สึกดีมากครับ วันที่ผมไปมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวเกาหลี ชาวไทย และชาวญี่ปุ่นมาปั่นกันคึกคักมากครับ แต่ละคนก็พกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมากันเพียบ ทำให้การท่องเที่ยวแบบนี้น่าสนใจและประทับใจมากขึ้น ได้เห็นธรรมชาติของเกาหลีอันสวยงาม เห็นบ้านเรือนสไตล์เกาหลีจริง ๆ คนเกาหลีบอกว่า สถานที่ให้ปั่นจักรยานแบบนี้ในเกาหลีมีประมาณสี่ที่ครับ แต่ที่นี่สวยสุดเพราะวิวเป็นทะเล ฟังแล้วเห็นแล้วปั่นแล้ว ก้อคิดเลยเถิดไปว่าอยากให้เชียงใหม่ทำมั่งจัง อิอิ

โดยส่วนตัวผมชอบเรื่องประวัติศาสตร์อยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่เสียดายที่มาครั้งนี้ไม่ได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ในโซล แต่ได้ไปชมพระราชวังเคียงบ๊อค ก้อพอโอเคแหล่ะเน๊อะ (ไว้มาครั้งหน้าจะไปให้ได้ อิอิ) หลาย ๆ ท่านคงทราบเรื่องราวของราชวงค์หรือเรื่องราวของเคียงบ๊อคก้นแล้ว แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือ คนเกาหลีค่อนข้างเกลียดคนญี่ปุ่นมาก อาจถึงขึ้นอยู่ในสายเลือดเลยทีเดียว อาจเพราะครั้งที่เกาหลีถูกญี่ปุ่นรุกรานและเข้ายึดเอาเป็นเมืองขึ้นมากกว่าสามสิบปี ศิลปะ สิ่งปลูกสร้าง ถูกญี่ปุ่นทำลายสิ้น ไม่เว้นแม้กระทั่ง พระราชวัง ราชวงค์ และผู้หญิง!



เคียงบ๊อคที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ สร้างใหม่หมดครับ เพื่อระลึกถึงประวัติศาสตร์ของชาวเกาหลี พูดแล้วก้อน่าเห็นใจนะครับ คนเกาหลีเล่าให้ฟังว่า บางปั้มน้ำมัน ถึงขึ้นไม่เติมน้ำมันให้รถจากญี่ปุ่น หรือชาวญี่ปุ่นที่มาเกาหลีเลยล่ะครับ แต่นั่นก้อสมัยก่อนแล้ว ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะครับ  ทำให้ผมแทบไม่เห็นรถจากญี่ปุ่นวิ่งในเกาหลีเลย (เห็นอยู่คันเดียวเป็นรถเก๋งฮอนด้า) รถที่เป็นที่นิยมสุดในเกาหลีคือฮอนได คับ เต็มเมืองไปหมด สวย ๆ เท่ ๆ ทั้งนั้น

ตามมาด้วย ยี่ห้อ ซัมซุง (ภาพด้านล่างนะครับ )  เกีย แดวู และรถจากค่ายทางยุโรปอย่าง บีเอ็ม เบนซ์ และ อาวดี้ ครับ อิอิ


มาถึงเกาหลี ถ้าจะไม่พูดถึงอาหารเกาหลีก้อคงดูกะไรอยู่เน๊อะ ผมมีโอกาสได้ไปทานอาหารของเกาหลีหลาย ๆ อย่างเลยละครับ แต่ละอย่างก้อเรียกได้ว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวเกาหลี และคนไทยก้อรู้จักกันดี รสชาติอาหารของคนเกาหลีจะติดหวานนิด เค็มหน่อย มีรสเผ็ดจากซอสพริกแดงประจำชาติของเค้านิดหน่อย และที่ขาดไม่ได้คือ กิมจิ ครับ ซึ่งต้องมีในอาหารทุกมื้อทุกเมนูเลยทีเดียว (คนเกาหลีบอกว่าช่วงที่เกาหลียังเป็นประเทศยากจนอยู่ อาหารหลักของชาวเกาหลีคือข้าวสวยกินกับกิมจิอย่างเดียวเลยคับ ) ไหน ๆ ก้อไหน ๆ ละ ผมขอนำภาพอาหารที่ผมได้ไปหม่ำมา มายั่วน้ำลายทุกท่านสักนิดนะครับ อิอิ
เริ่มต้นอาหารเกาหลีมื้อแรกในเกาหลีด้วย ทักคาลบี้ ครับ ต้องไปหม่ำไกลถึงเมืองชุนชอน เป็นผักหลากชนิด ผัดกับไก่หมักซอส เวลาหม่ำ ต้องคน ๆ บนจานร้อนแบบนี้ล่ะครับ อร่อยมากมาย

เมนูนี้คนไทยรู้จักกันดีครับ ชาบู ชาบู นั่นเอง ผัก เห็ด หมู มีไร ใส่ไปหมด หม่ำกับเครื่องเคียงกิมจิและกระเทียมสด และ สาหร่ายครับ

ตามมาด้วยบิบิมบับ ข้าวยำเกาหลีครับ หลัก ๆ คือต้องมีผักให้ครบห้าสีครับ ที่เหลืออยากใส่อะไรก้อใส่ครับ อร่อยเหมือนข้าวยำปักษ์ใต้บ้านเราครับ อิอิ

และนี่คือต้นตำรับหมูย่างเกาหลีคับ ชาวเกาหลีเรียกว่า คาลบี้ (ชื่อเหมือนขนมเน๊อะ) จะเป็นหมูหมักรสชาติออกหวาน ๆ ครับ ย่างกันแบบชิ้นมหึมา แล้วค่อยมาตัดหม่ำกับผัก น้ำซอสแดง กระเทียมสด ครับ ( ผมหม่ำจนพุงแทบปลิ้น ) 55555
ส่วนนี้ก้อพูลโกกิครับ หรือบาบีคิวหมู (จะใช้ปลาหมึกก้อได้ไม่ว่ากัน ) ผัดกับซอสแดง ผัก เห็ด หม่ำกับข้าวสวยและกิมจิ อร่อยจิง ๆ

เมนูนี้ผมชอบเป็นการส่วนตัวครับ ไก่ตุ๋นโสม ซัมเคทัง (กินแล้วจะได้คึกคัก)  ผมเอาเหล้าขาวเกาหลีเทลงไปด้วยแหล่ะ สุดยอดดดดดด ไก่มาเป็นตัวเลยครับ (ตัวไม่ใหญ่มาก) ข้างในไก่เค้าเอาข้าวเหนียวยัดไว้ ทานตอนอาการเย็น ๆ หนาว ๆ ร้อนไปถึงไส้ติ่งเลยละครับ 55555

และนี้ก้อคือ ไก่ผัดซอสพะไล้ อันดอง จิมดัก ที่คนเกาหลีแนะนำให้ว่าต้องทานนะ เวลาทานจะมีเส้นก๋วยเตี๋ยวในจานด้วย (คนเกาหลีบอกว่าเป็นวุ้นเส้น) แต่ผมว่ามันคือก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทร์นั่นแหล่ะครับ เหนียว ๆ นุ่ม ๆ  ก่อนทานต้องเกากรรไกรตัดก่อน ไม่งั้น ยาวยืดดดดด หม่ำลำบาก 5555
และที่ขาดไม่ได้คือ กิมจิ ครับ มีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายรสชาติ และต้องมีในอาหารทุกมื้อ ไม่ว่าจะทานอะไร เป็นต้องมีเจ้านี้มาด้วยตลอด  อร่อยดีครับ แก้เลี่ยน เสริมรสชาติอาหารเวลาคลุกเคล้าในปาก อร่อยจิง ๆ อิอิ

นั่งจิ้มๆๆๆๆจนไม่ทันได้สังเกตว่าท้องฟ้ามืดไปไปนานแล้ว มองลงไปเห็นเมืองอะไรก้อไม่รู้ไฟเต็มเมือง กว้างใหญ่มาก มองจากความสูงสามหมื่นฟุตลงไปมันช่างสวยงสมเสียนี่กระไร ว่าแต่เอ.....นี่มันเมืองไรหวาาา นั่งคิดคำนวนจากระยะทางและเส้นทางการบิน เมืองใหญ่ขนาดนี้น่าจะเป็นเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพราะเครื่องต้องบินลงใต้แถวๆน่านฟ้านี่แหล่ะ แต่ก้อไม่แน่ใจเท่าไหร่ค่อยกลับไปเปิดลุงกูดูอีกที ตอนนี้ของชื่นชมน่านฟ้าอันสวยงามของเมืองนี้ก่อนนะคับ อิอิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น